ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๑
โดย khampan.a  8 ก.ย. 2567
หัวข้อหมายเลข 48437

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๑




~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าอัศจรรย์ จากความไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ แต่สามารถที่จะมีความเห็น ความเข้าใจถูกต้องในทุกอย่างที่ปรากฏ จากกิเลสมากๆ จนกระทั่งค่อยๆ ละคลายไป จนกระทั่งไม่มีกิเลสเหลือเลย เพราะฉะนั้น น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าอย่างอื่น เพราะสามารถที่จะเปลี่ยนจากความไม่รู้ เป็นความค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนดับกิเลสได้
~ การฟังพระธรรมมีประโยชน์มากมายมหาศาล การฟังเป็นความดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ เมื่อมีการฟังครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ที่เห็นประโยชน์จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะมีความอดทนมีความเพียรที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไปอันเป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ผู้ที่สะสมเหตุที่ดี มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรมมาแล้วจึงมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟัง
~ ความชั่วมีมากมายเกินที่จะประมาณได้ที่จะไม่รู้ความจริงและประพฤติชั่ว เพราะฉะนั้น เมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเห็นคุณอย่างยิ่งที่คำของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้สามารถละชั่วได้ เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรม เข้าใจพระธรรม เพื่อละชั่วหรือเปล่า? ถ้าไม่ละชั่วก็เพิ่มความชั่วขึ้นอีกมากมาย
~ ต้องฟังพระธรรมด้วยความเคารพจริงๆ หนทางเดียวที่จะละชั่ว คนอื่นไม่สามารถจะทำให้ได้เลยนอกจากความเข้าใจของตนเองที่รู้ว่า ชั่วคืออะไร และจะละชั่วนั้นได้อย่างไร คนอื่นช่วยไม่ได้เลยที่จะละความชั่วให้ ต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของความชั่วจึงสามารถที่จะเริ่มที่จะละความชั่วได้
~ ไม่มีตา จะมีสิ่งที่กำลังถูกเห็นได้ไหมเดี๋ยวนี้? ไม่ได้ เริ่มรู้ความจริงว่าไม่มีใครสักคนเดียว แต่มีสิ่งที่เป็นอย่างนั้น เกิดขึ้น จึงเป็นอย่างนั้น นี่เป็นความจริงถึงที่สุดที่ใครๆ ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง คือ ธรรมแต่ละหนึ่ง
~ ถ้ามีความเข้าใจเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าเราอ่านพบข้อความอะไร คำไหนในพระไตรปิฎก เราก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นในความลึกซึ้ง และมีความเข้าใจถูกต้องขึ้นว่าเรากำลังศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี อันนี้สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีพื้นฐานที่มั่นคงอย่างนี้ทั้งหมดไม่มีประโยชน์เลย
~ ควรเป็นคนดี หมายความว่า รู้ว่าอะไรดี ความรู้นั้นทำให้เป็นคนดี เวลาที่ดี ก็เข้าใจว่าคนนั้นดี แต่ถ้ารู้ว่าดี ไม่ใช่เรา ยิ่งดี ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น อะไรดีที่สุด? ต้องเข้าใจธรรม แล้วขณะนั้นก็ไม่ใช่เราด้วย
~ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น หนทางที่จะเข้าใจความจริง คือ ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้ว่าเป็นคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้หนทางที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับ ไม่ใช่เรา
~ ความเป็นไปของธรรมไม่หยุดเลย ใครก็หยุดยั้งความเป็นไปของธรรมไม่ได้เลย นี่เป็นการเริ่มต้นของการที่จะรู้จักธรรมจริงๆ ว่า ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ หยุดยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะเป็นอย่างนี้
~ ทุกคนมีกิเลส ก่อนฟังพระธรรมก็มีความประพฤติเป็นไปตามกิเลสมากมาย แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว รู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ก็ทิ้งในสิ่งที่ผิด ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
~ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็คือ ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นแล้ว เห็นชัดว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็มีความเข้าใจในความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน ความเป็นธรรมที่จะต้องเกิดดับไป โดยยับยั้งไม่ได้ เพราะจากขณะนี้ไปเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต
*** ~ ใครจะว่าอะไรเรา เราก็ไม่ต้องไปเสียใจ เพราะขณะที่เขาว่าเรากิเลสอยู่ไหน? ต้องไม่ลืมว่ากิเลสไม่ได้อยู่ที่เรา แต่อยู่ที่คนที่คิดไม่ดีกับเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราโกรธ เราก็ไม่ดีเหมือนอย่างเขา***
~ ถ้าท่านผู้ใดยังคงมีความโกรธในบุคคลใด ขณะนั้นเป็นอกุศล จะคลายเกลียวออก คือ ละคลายความโกรธและให้อภัย หรือจะหมุนเกลียวของโทสะให้เพิ่มขึ้น มากขึ้นไปอีก? วันหนึ่งๆ ถ้าจะหาเรื่องที่จะโกรธ ไม่ยากเลย เช่นเดียวกับการที่จะหาวัตถุซึ่งเป็นที่พอใจก็ไม่ยาก ได้ยินอะไรนิดอะไรหน่อยก็โกรธได้ แต่ถ้าพิจารณาหาเหตุผลว่า ผู้นั้นอาจพูดไปด้วยความไม่รู้ ด้วยการฟังที่ผิวเผิน หรือด้วยความเข้าใจผิด ขณะนั้นจิตใจก็จะสบาย ไม่เดือดร้อน หมดเรื่อง จบเรื่องทุกอย่าง
~ ทุกอย่างที่จะเกิดต้องมีปัจจัยทั้งนั้น ชีวิตของแต่ละบุคคลที่จะเกิดแต่ละขณะจะปราศจากปัจจัยไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือแม้แต่ที่จะคิดนึกก็ต้องมีปัจจัยทั้งสิ้น ถ้ารู้จริงๆ อย่างนี้จะทำให้คลายความหวังความห่วง ความต้องการ ความกังวลทุกอย่างได้
~ พระธรรมสอนให้ทุกคนรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ดีไหมที่จะรู้จักตัวเอง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมักจะเข้าใจว่ารู้จักคนอื่นดี รู้จักคนอื่นมาก รู้จักคนอื่นทะลุปรุโปร่ง แต่ลืมว่ารู้จักตัวเองบ้างหรือยัง และรู้จักอะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน รู้จักคนอื่นหรือรู้จักตัวเองจะมีประโยชน์กว่า
~ ถ้าเห็นว่าตนเองทำไม่ดีแล้ว ปัญญาคืออะไร ก็ต้องรู้ว่าจะไม่ทำอีก แทนที่จะไปเศร้าหมอง เศร้าหมองมีประโยชน์อะไร สิ่งนั้นผ่านไปแล้ว อกุศลเกิดเพราะเหตุปัจจัยและเพราะไม่รู้ว่าอกุศลนั้นไม่ดี แต่ถ้าเป็นปัญญา สิ่งที่ทำแล้ว ก็แล้วไปแล้ว และจะไม่ทำอีก จะทำแต่สิ่งที่ดี
~ ความสำคัญตน ตนนี่สำคัญ รู้สึกว่าเราสำคัญเมื่อไร เมื่อนั้นรู้จักมานะ ที่ไหนก็ตาม เวลาไหนก็ตาม อย่างบางท่านอาจจะมีเกียรติยศมาก มานะจะโตเร็ว จะโตมากด้วยตามเกียรติยศ ท่านที่มีทรัพย์สินเงินทองมาก มานะก็โตตามทรัพย์สินเงินทองนั้น ท่านที่มีวิชาความรู้มาก มานะก็โตตามเหมือนกัน ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีอะไรจะละคลายกิเลสได้เลย กิเลสไม่ได้อยู่ในหนังสือ กิเลสอยู่ที่การสะสมมา ตราบใดที่ยังไม่ได้ละ ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิด การศึกษาพระธรรม เพื่อรู้จักสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่สภาพธรรมนั้น มีจริงๆ เกิดขึ้นและดับไป
*** ~ ทุกคนมีอกุศลมากมายถ้ารู้ คนที่ไม่รู้ก็บอกว่าเขามีกุศลมาก แต่ถ้าคนรู้จะบอกว่าตัวเองมีอกุศลมากเหลือเกิน***
~ ไม่ใช่ว่ามีใครคิดจะชนะอกุศลในวันนี้ก็ชนะได้ แต่ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ จึงจะค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับขั้นในชีวิตประจำวัน



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๐



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย jaturong  วันที่ 8 ก.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 8 ก.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 8 ก.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 4    โดย swanjariya  วันที่ 8 ก.ย. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 5    โดย มังกรทอง  วันที่ 8 ก.ย. 2567

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 6    โดย shsso2551  วันที่ 8 ก.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย nattawan  วันที่ 9 ก.ย. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย panasda  วันที่ 10 ก.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ