ผู้ที่ไปยังประเทศอื่น แล้วเลยกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศนั้นได้ แต่ไม่ยอมเดินทางกลับ โดยลักลอบอยู่และทำงานต่อไปในประเทศนั้นโดยผิดกฎหมาย
พิจารณาตามเหตุการณ์แล้ว ผู้นั้นกระทำผิดกฎหมายการเข้าเมือง แต่โดยสภาพจิตแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นการเจตนาโกหกหรือไม่ ในเมื่อก็ไม่ได้ไปพูดโกหกต่อหน้าเจ้าหน้าที่ หรือผู้ใดเพื่อให้ตนเองได้มีสิทธิ์อยู่ต่อในประเทศนั้น เพียงไม่ยอมกลับเมื่อเลยเวลาที่อนุญาตไว้ในวีซ่าเท่านั้น หากพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้ ถึงแม้ประเทศไม่ใช่วัตถุที่จะขโมยมาเป็นของตนได้ แต่การอยู่เช่นนั้นอาจเป็นการขโมยดินแดนเพื่อลักลอบอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งไม่ตรงต่อตนเอง สภาพจิตในขณะนั้นอาจเป็นเจตนามุสาวาทก็ได้ จะมีหลักเกณฑ์การพิจารณาไตร่ตรองอย่างไรว่าเป็นการล่วงศีลหรือไม่
ขอบคุณครับ
การพิจารณาการกระทำทางกาย วาจา และใจ ว่าจะเป็นการล่วงกรรมบถหรือไม่อย่างไร โดยหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ต้องพิจารณาตามองค์กรรมบถตามตัวอย่างที่ท่านยกมาเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฏหมายของกลุ่มชนนั้นๆ ซึ่งมีข้อตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ไม่ทำตาม หรือมีการตั้งใจจะไม่ทำตามข้อกำหนดตั้งแต่แรกก็เป็นอกุศลเจตนา จัดเป็นการผิดสัจจะ คือเข้าข้อมุสาได้ การลักลอบอยู่ทำงานในประเทศที่เขาไม่อนุญาต ทำให้เกิดผลประโยชน์แก่ตน แต่ทางเจ้าของประเทศไม่อนุญาตให้หารายได้ จัดเป็นการขโมยรายได้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบธรรม สรุป คือ ถ้าพิจารณาโดยละเอียดแล้ว เป็นอกุศลกรรมบถ เพราะมีเจตนา
ขณะใดที่คิดไม่ดี ไม่ตรง ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตแล้ว ส่วนเจตนา (ความจงใจ ตั้งใจ) เกิดกับจิตทุกขณะ จะว่าไม่เจตนา คงไม่ได้ ขณะที่คิดจะทำผิดกฏหมายโดยการลักลอบอยู่นั้น สภาพจิตเป็นอย่างไร เป็นกุศล หรืออกุศล ผู้ที่กระทำย่อมรู้ด้วยตัวเอง ถ้าพิจารณาองค์ของกรรมบถ ก็คือ รู้ว่าหมดเวลาที่จะอยู่ แต่จิตก็คิดที่จะอยู่ต่อ แล้วก็ทำอย่างที่คิด คือลักลอบอยู่ต่อไป การกระทำนั้นสำเร็จแล้ว.
ถ้ามีเจตนาไม่ดี การกระทำทั้งหมดก็ผิด คือ ไม่ตรงต่อตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ต่อ ประเทศที่เราอาศัยอยู่
ขออนุโมทนาครับ