กราบเรียนถามอาจารย์วิทยากรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง คือ ปัญญา ที่จะต้องเป็นเรื่องของการสะสมมาแล้วในอดีต เพราะฉะนั้น เสียงในโลกมีมากมาย แต่เสียงที่ทำให้เกิดปัญญา ความเห็นถูกมีอยู่ คือ เสียงของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แต่ผู้ที่ไม่ได้สะสมปัญญา สะสมความเข้าใจมา ก็ย่อมที่จะไม่สนใจในเสียงนั้น ในเรื่องนั้น แต่กลับไปสนใจในเรื่องที่ไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์ ซึ่งหากมองตามความเป็นจริงก็ไม่มีใครที่สนใจ หรือ ไม่สนใจ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก ที่่สะสมมาแตกต่างกันไป สะสมปัญญา สะสมความเห็นถูก หรือ สะสมอกุศล สะสมความเห็นผิด ชีวิตจึงแตกต่างกันไป ความสนใจของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ตามการสะสมของจิตที่แตกต่างกัน แม้เรื่องราวของท่านพระสารีบุตรเถระในอดีตที่ปรากฏในชาดก ท่านได้เคยพยายามแนะนำคนที่ทุศีล ให้มีศีล ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะธรรมไม่สาธารณะนั่นเอง ซึ่งแสดงว่า เราไม่สามารถทำให้แผ่นดินทั้งหมดราบเรียบเสมอเหมือนกันหมดได้ เพราะบางแห่งก็มีหลุมมีบ่อ เป็นเนินฉันใด แม้เราก็ไม่สามารทำให้คนทุกคน สนใจธรรม หรือ ให้เป็นอย่างที่ใจเราคิด ครับ
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญก่อนจะจากโลกนี้ไปซึ่งมีเวลาน้อยมาก คือ อบรมปัญญาศึกษาพระธรรม ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นของตนเองมั่นคงขึ้น ซึ่งแต่ละท่านก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคนที่ได้สะสมมา ต่างคนก็ต่างมา ต่างคนก็ต่างไป ประโยชน์ตนที่แท้จริง จึงเป็นความเข้าใจพระธรรม และกุศลที่เจริญขึ้นทุกประการ ซึ่งสำคัญที่สุด ครับ
พระธรรมเป้นสิ่งฟังยาก เพราะกิเลสสัตว์โลกมากครับ ดังคำพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระอานนท์ เรื่อง อุบาสก 5 คน ดังนี้
อานนท์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์ ย่อมแทรกอวัยวะทั้งหลาย มีผิวเป็นต้น (เข้า) ไปจดเยื่อกระดูกตั้งอยู่ เพราะเหตุไร อุบาสกเหล่านี้แม้เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ จึงไม่ฟังโดยเคารพ
พระศาสดา อานนท์ เธอเห็นจะทำความสำคัญว่า ธรรมของเรา อันบุคคลพึงฟังได้โดยง่ายกระมัง
อานนท์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรม (ของพระองค์) อัน บุคคลพึงฟังได้โดยยากหรือ
พระศาสดา ถูกแล้ว อานนท์
อานนท์ เพราะเหตุไร พระเจ้าข้า
พระศาสดา อานนท์ บทว่า พุทฺโธ ก็ดี ธมฺโม ก็ดี สงฺโฆ ก็ดี อันสัตว์เหล่านั้นไม่เคยสดับแล้ว ในแสนกัลป์ แม้เป็นอเนก เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงไม่สามารถฟังธรรมนี้ได้ แต่ในสงสารมีที่สุดอัน ใครๆ ตามรู้ไม่ได้ สัตว์เหล่านั้นฟังดิรัจฉานกถามีอย่างต่างๆ นั่นแล มา แล้ว เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้จึงเที่ยวขับร้องฟ้อนรำอยู่ในที่ทั้งหลาย มีโรงดื่มสุราและสนามเป็นที่เล่นเป็นต้น จึงไม่สามารถจะฟังธรรมได้
อานนท์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกทั้งหลายนั่น อาศัยอะไร จึงไม่สามารถ
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พระอานนท์ว่า "อานนท์ อุบาสก เหล่านั้น อาศัยราคะ อาศัยโทสะ อาศัยโมหะ อาศัยตัณหา จึงไม่สามารถ ชื่อว่าไฟ เช่นกับด้วยไฟ คือราคะไม่มี ไฟใดไม่แสดงแม้ซึ่งเถ้า ย่อมไหม้สัตว์ทั้งหลาย แท้จริง แม้ไฟซึ่งยังกัลป์ให้พินาศ ที่อาศัยความปรากฏ แห่งอาทิตย์ ๗ ดวงบังเกิดขึ้น ย่อมไหม้โลก ไม่ให้วัตถุไรๆ เหลืออยู่เลย ก็จริง ถึงกระนั้น ไฟนั้นย่อมไหม้ในบางคราวเท่านั้น ชื่อว่ากาลที่ไฟ คือ ราคะจะไม่ไหม้ ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ชื่อว่าไฟเสมอด้วยราคะก็ดี ชื่อว่า ผู้จับเสมอด้วยโทสะก็ดี ชื่อว่าข่ายเสมอด้วยโมหะก็ดี ชื่อว่าแม่น้ำเสมอด้วยตัณหาก็ดี ไม่มี"
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณอาจารย์เผดิม และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้า 205
ข้อความบางตอนจาก...
วรรคที่ ๔
สัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบทมีน้อย
สัตว์ที่ได้ฟังธรรมวินัยที่ พระตถาคตประกาศไว้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มากกว่าโดยแท้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น ไม่สาธารณะ คือ ไม่ทั่วไป กับทุกคน คนที่ได้ฟังพระธรรม มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมมาแล้วในอดีต จึงมีเหตุปัจจัยให้ได้ฟังได้ศึกษาได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไปอีก ซึ่งชีวิตของแต่ละท่านก็พิสูจน์ได้อยู่แล้วว่า เพราะเหตุใด จึงสนใจที่จะฟังพระธรรม ก็เพราะเห็นประโยชน์เห็นคุณค่า เพราะเคยได้สะสมมาแล้วนั่นเอง จึงฟัง จึงศึกษาด้วยความเคารพ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฟัง ก็เพราะไม่สนใจ ไม่เห็นประโยชน์เพราะไม่เคยได้สะสมอุปนิสัยในการฟังมาแล้ว นั่นเอง เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเลย มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ