[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 62
ชราวรรคที่ ๕
๑. ชราสูตร
ว่าด้วยความแก่
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 31]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 62
ชราวรรคที่ ๕
๑. ชราสูตร
ว่าด้วยความแก่
[๙๖๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น แล้วประทับนั่งผินพระปฤษฎางค์ผิงแดดในที่มีแสงแดดส่องมาจากทิศประจิมอยู่ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บีบนวดพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยฝ่ามือพลางกราบทูลว่า
[๙๖๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว เวลานี้พระฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเมื่อก่อน พระสรีระก็หย่อนย่นเป็นเกลียว พระกายก็ค้อมไปข้างหน้า และความแปรปรวนของอินทรีย์ คือ พระจักษุ พระโสตะ พระฆานะ พระชิวหา พระกาย ก็ปรากฏอยู่.
[๙๖๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ชราธรรมย่อมมีในความเป็นหนุ่มสาว พยาธิธรรมย่อมมีในความไม่มีโรค มรณธรรมย่อมมีในชีวิต ผิวพรรณไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเมื่อก่อน สรีระก็หย่อนย่นเป็นเกลียว กายก็ค้อมไปข้างหน้า และความแปรปรวนแห่งอินทรีย์ คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ก็ปรากฏอยู่.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 63
[๙๖๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ถึงท่านจะติความแก่อันเลวทราม ถึงท่านจะติความแก่อันทำให้ผิวพรรณทรามไป รูปอันน่าพึงใจก็คงถูกความแก่ย่ำยีอยู่นั่นเอง แม้ผู้ใดพึงมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปี (ผู้นั้นก็ไม่พ้นความตายไปได้) สัตว์ทั้งปวงมีความตายเป็นเบื้องหน้า ความตายย่อมไม่ละเว้นอะไรๆ ย่อมย่ำยีทั้งหมดทีเดียว.
จบชราสูตรที่ ๑
ชราวรรคที่ ๕
อรรถกถาชราสูตร
ชราวรรคที่ ๕ สูตรที่ ๑.
คำว่า ปจฺฉาตปเก (มีแดดอยู่ทางหลัง) คือ มีแดดอยู่ทางทิศตะวันตกแห่งปราสาท เพราะเงาปราสาทบังทิศตะวันออก.
อธิบายว่า เสด็จประทับนั่งบนพระบวรพุทธอาสน์ที่ปูไว้ในที่นั้น.
คำว่า ผินพระปฤษฎางค์ผิงแดด ความว่า เพราะในพระสรีระที่เป็นอุปาทินนกสังขารแม้ของพระสัมพุทธเจ้า ในเวลาร้อนก็ร้อน ในเวลาเย็นก็เย็น ก็สมัยนี้เป็นสมัยหนาวมีน้ำค้างตก ฉะนั้น ในเวลานั้นจึงทรงเอามหาจีวรออกแล้ว เสด็จประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ผิงแดด.
ถามว่า แสงแดด
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 64
สามารถข่มรัศมีพระพุทธเจ้าเข้าไปภายในได้หรือ.
ตอบว่าไม่ได้.
เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรส่องให้ร้อน.
เดชแห่งรัศมีส่องให้ร้อน เหมือนอย่างว่า แสงแดดถูกต้องตัวคนที่นั่งโคนไม้ใต้ร่มที่เป็นปริมณฑลในเวลาเที่ยงไม่ได้ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น ความร้อนก็ยังแผ่ไปทุกทิศ เหมือนเอาเปลวไฟมาล้อมรอบ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อแสงแดดไม่สามารถข่มรัศมีพระพุทธเจ้าแล้วแทรกเข้าไปข้างในได้ ก็พึงทราบว่าพระศาสดาประทับนั่งรับความร้อนอยู่.
คำว่า บีบนวด คือ ทรงลูบขยำด้วยอำนาจทำการผิงพระปฤษฎางค์.
คำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ คือ พระเถระปลดมหาจีวรออกจากพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เห็นรอยหย่อนยานเท่าปลายผม เหมือนขดทองคำในระหว่างปลายพระอังสะ (บ่า) ทั้งสองข้างของพระองค์ผู้ประทับนั่งเกิดความสังเวช เมื่อจะตำหนิความแก่ว่า แม้แต่ในพระสรีระขนาดนี้ ก็ยังปรากฏมีความแก่จนได้ จึงกล่าวอย่างนั้น.
นัยว่า นี้ชื่อว่าเป็นของอัศจรรย์สำหรับช่างติ. เมื่อแสดงว่าพระฉวีวรรณที่หมดจดโดยปกติ ไม่อย่างนั้นเสียแล้ว จึงทูลอย่างนี้ว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า หาได้หมดจดเหมือนเมื่อก่อนไม่ พระเจ้าข้า.
จริง เมื่อเวลาที่พระตถาคตเจ้ายังทรงหนุ่มอยู่ พระวรกายไม่มีรอยย่น เหมือนหนังโคที่เขาเอาขอตั้งร้อยเล่ม มาดึงขึงให้เท่ากัน ด้วยประการฉะนี้.
ฝุ่นละอองที่มาตั้งไว้ในพระหัตถ์นั้น ก็ตกหล่นไป ค้างอยู่ไม่ได้เลย เหมือนถึงอาการเช็ดด้วยน้ำมัน แต่ในยามแก่เฒ่า (สำหรับคนทั่วไป) เปลวที่ศีรษะก็เหี่ยวห่อไป แม้แต่ข้อต่อก็ห่างกันออกไป เนื้อก็ไม่เกาะกระดูกสนิท ถึงความหย่อนยานห้อยย้อยไปในที่นั้นๆ.
แต่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาเป็นอย่างนั้นไม่ อาการดังที่มานี้ หาได้ปรากฏแก่คนเหล่าอื่นไม่ ปรากฏแต่แก่พระอานนทเถระเท่านั้น เพราะท่านอยู่ใกล้ชิด ฉะนั้น ท่านจึงทูลอย่างนั้น.
คำว่า พระสรีระหย่อนย่น คือ เกลียวย่นปรากฏในที่นั้นๆ คือ ที่หน้า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 65
ที่ระหว่างจะงอยบ่าของคนเหล่าอื่น แต่สิ่งนั้นหามีแก่พระศาสดาไม่ แต่พระเถระมองเห็นขดรอยย่นระหว่างปลายพระอังสะทั้งสองข้าง จึงได้ทูลอย่างนั้น.
แม้คำว่า สัณฐาน (๑) เกิดเป็นเกลียวนี้ ท่านก็กล่าว ด้วยอำนาจที่ปรากฏแก่ตนเท่านั้น. แต่รอยย่นเหมือนของคนเหล่าอื่นหามีแก่พระศาสดาไม่.
คำว่า พระวรกายก็ค้อมไปข้างหน้า คือ พระศาสดาทรงมีพระกายตรงเหมือนกายพรหม คือ พระกายของพระองค์สูงตรงขึ้นไป เหมือนเสาหลักทองคำที่ปักไว้ในเทพนคร แต่เมื่อทรงพระชราแล้ว พระกายก็ค้อมไปข้างหน้า และท่านว่า พระกายที่ค้อมไปข้างหน้านี้ หาปรากฏแก่คนเหล่าอื่นไม่ ปรากฏแต่แก่พระเถระเท่านั้น เพราะท่านอยู่ใกล้ชิด ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนั้น.
คำว่า และความแปรปรวนแห่งอินทรีย์ทั้งหลายก็ปรากฏ คือ ที่ชื่อว่าอินทรีย์ทั้งหลาย หาใช่อินทรีย์ที่ต้องรู้แจ้งด้วยตาไม่ เพราะโดยปกติ พระฉวีวรรณก็หมดจดอยู่แล้ว แต่บัดนี้หาได้หมดจดอย่างนั้นไม่ รอยย่นปรากฏที่ระหว่างปลายพระอังสะ พระกายที่ตรงเหมือนกายพรหม ก็โกงไปข้างหน้า ด้วยเหตุนี้แล ท่านจึงกล่าวอย่างนี้ด้วยการถือเอานัยว่า ก็แลความที่อินทรีย์มีตาเป็นต้นแปรปรวนไปต้องมี.
คำว่า ธิ ตํ ชมฺมีชเร อตฺถุ ความว่า โธ่ ความแก่ลามก จงมีกะเจ้า คือแก่เจ้า.
ธิ อักษรคือ ความติเตียนจงถูกต้องเจ้า.
อัตภาพ ชื่อว่า พิมพ์.
จบอรรถกถาชราสูตรที่ ๑
(๑) พม่าเป็น สพฺพานิ ฉบับอรรถกถาไทยเป็น สณฺานิ