คือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่อยากจะสวดมนต์และนั่งสมาธิให้ได้ทุกๆ วันนะครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเมื่อขณะสวดมนต์หรือนั่งสมาธินั้นใจมันไม่นิ่งเลย บางครั้งใจก็คิดไม่ดีต่อพระต่อเจ้าบ้าง (คือว่ามันคิดไปเองนะครับมาได้ไงไม่รู้เหมือนกัน) ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ แล้วผมควรทำไงดีครับ กลัวบาปเหมือนกัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ามนต์ก่อนครับ เพราะ มนต์ (ภาษาบาลี คือ มนฺต) หมายถึง ปัญญา บางครั้งก็มีคำว่า พุทธมนต์ (พระปัญญาของพระพุทธเจ้า) ด้วย และประการที่สำคัญ คือ มนต์ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเท่านั้น เช่น พระสูตร ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย
การสวดมนต์จึงไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อขอพร จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นไปเพื่อได้ เพื่อติดข้องไม่เป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลากิเลสในความเป็นจริงแล้วในสมัยพุทธกาล บุคคลสมัยนั้นต่างก็พูดเป็นภาษาบาลีกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น คำพูดเมื่อจะกล่าวสรรเสริญใคร ยกย่องบุคคลใด รวมทั้งอธิบายในสิ่งใด ให้ผู้อื่นเข้าใจก็ใช้คำบาลี การสวดมนต์ที่ปัจจุบันสวดกันนั้นก็เป็นภาษาบาลี มีการกล่าวยกย่อง สรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น รวมทั้งเป็นบทพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสูตรต่างๆ ในปัจจุบันก็นำมาสวดกัน ครับ
การบรรลุธรรม เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่การไปนั่งสมาธิ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งผู้ที่จะได้ฟังได้ศึกษาและได้รับประโยชน์จากพระธรรมนั้น ต้องเป็นผู้ได้เห็นประโยชน์ของพระธรรม สะสมศรัทธาที่จะฟังพระธรรมมาแล้วอย่างนับชาติไม่ถ้วน จึงทำให้ผู้นั้นสนใจที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น ท่านได้สะสมปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งขาดไม่ได้เลย ก็คือ ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้วจะเข้าใจว่า ทุกคำที่พระองค์ตรัส เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ก็คือ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อละกิเลส เป็นไปเพื่อการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อมีปัญญาคมกล้า เจริญสมบูรณ์พร้อมก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ตามลำดับมรรค สูงสุดคือถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด
ในสมัยพุทธกาล พระอริยบุคคลผู้ได้อบรมเจริญฌาน ความสงบของจิตก็มีมาก ท่านเหล่านั้นเข้าใจถูกในหนทาง มีการอบรมปัญญาเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผู้ที่ได้บรรลุธรรมโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญฌาน มีมากกว่าผู้ได้บรรลุธรรมที่ได้ฌานด้วย แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ท่านเหล่านั้นล้วนต้องได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ด้วยกันทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นแล้ว หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง สามารถดับกิเลสรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ถ้าไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้องต้องการ นั่นไม่ใช่หนทางแห่งการรู้ความจริง แต่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลสให้มากขึ้น และการไปทำอะไรที่ผิดปกติคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่ใช่การกระทำของพระอริยบุคคลอย่างแน่นอน ครับ. ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ขอให้ตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อตั้งใจว่าจะศึกษาพระธรรม จริงๆ ก็ต้องตั้งต้นอย่างนี้ เป็นเหมือนผู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อที่จะได้รู้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก จากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง
การสวดมนต์ ตลอดจนถึงการไปทำอะไรด้วยความไม่รู้เช่นนั่งสมาธิ เป็นต้น ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น มีแต่จะเพิ่มพูนความไม่รู้และความเห็นผิดให้มากยิ่งขึ้น พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จึงจะเข้าใจพระธรรม ทั้งหมดเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ที่สำคัญ คือจะขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้เลยทีเดียว ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
แล้วแบบนี้สิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดจะ สูญเปล่าและจะเป็นการเพิ่มบาปไหมครับเพราะว่า ผมมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติแต่ไม่สามารถควบคุมจิตใจตัวเองได้ ทำให้บางครั้งตอนสวดเสร็จก็มานั่งเครียดกับสิ่งที่ใจได้เผลอคิดไม่ดีไป
น่าเห็นใจจริงๆ ค่ะ เพราะไม่รู้จึงกระทำ ทำทุกอย่างแต่ไม่ฟังธรรม
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
สิ่งที่ทำ ที่ทำด้วยความไม่รู้และเข้าใจผิด สูญเปล่าจากความดีในขณะนั้น สูญเปล่า จากความเห็นถูกในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญารู้ว่าอะไรถูกและผิดแล้ว จึงละทิ้งสิ่งผิด เลิกทำสิ่งผิด และ เริ่มสิ่งที่ถูกคือการฟัง ศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง ครับ
ขออนุโมทนา
แม้ความคิดก็เป็นธรรมะเป็นนามธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเคยสะสมที่จะคิดแบบนั้นมีเหตุปัจจัยก็คิดอีกเราไม่สามารถห้ามความคิด แต่เราสามารถอบรมปัญญาได้ ค่อยๆ สะสมเหตุใหม่ที่จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอขอบพระคุณสำหรับทุกความเห็น และขออนุโมทนานะครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ