- ตอนนี้เรากำลังพูดถึงอกุศลวิบากมีเท่าไหร่? (มี ๗) ไม่ลืมนะ ไม่ลืมแน่นอน เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เป็นเราหรือเปล่า? (ไม่เป็นเรา) ไม่ใช่เป็นเราแล้วเป็นอะไร? (เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับตามเหตุปัจจัย) เพราะฉะนั้น ฟังคำถามดีๆ อกุศลวิบากไม่ใช่เรา แต่เป็นอะไร เป็นอะไร? (เป็นจิต) เป็นจิต แล้วเป็นเจตสิกด้วยหรือเปล่า เจตสิกเป็นวิบากด้วยหรือเปล่า? (เจตสิกที่เกิดพร้อมเป็นวิบากด้วย) จิตกับเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดขึ้นเพราะกรรมที่จะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ จึงเป็นผลของกรรมดี หรือกรรมไม่ดีใช่ไหม? (ใช่) .
- กรรมทำให้เกิดวิบากจิต และเจตสิกที่เกิดพร้อมกันแล้วทำให้เกิดอะไรด้วย? (ทำให้เกิดรูปด้วย) เก่งมาก ที่จะไม่ใช่เพียงจำชื่อ แต่ต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้มีอกุศลวิบากจิตมีอกุศลวิบากเจตสิก และมีรูปด้วยหรือเปล่า? (มี) .
- รูปเป็นวิบากด้วยหรือเปล่า? (รูปไม่ได้เป็นวิบาก แต่เป็นผลของกรรม) เก่งมาก นี่เป็นสิ่งซึ่งถ้าเข้าใจแล้วจะไม่ลืมเพราะความต่างกันของจิต เจตสิก และรูป.
- รูปเป็นวิบากไม่ได้เพราะอะไร? (เพราะรูปไม่ใช่จิต เจตสิก แต่เป็นผลของกรรม) เพราะอะไร? (เพราะถ้าพูดถึงวิบาก วิบากต้องเป็นนามธรรม) เพราะรูปไม่รู้อะไร ใครจะตีรูป ใครจะแทงรูป ใครจะตัดรูป รูปไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่สภาพรู้ เป็นวิบากวิบากไม่ได้.
- รูปที่ไม่ใช่ผลของกรรมมีไหม? (มี) ถ้าไม่ใช่ผลของกรรม รูปนั้นเกิดจากอะไร? (นึกได้ ๒ ปัจจัยให้เกิดรูปนอกจากกรรม ก็คือ อาหาร และอุตุ) มีรูปที่เกิดจากจิตไหม? (ไม่ทราบ) กำลังพูดมีเสียงไหม? (มี) ได้ยินทุกคำเกิดจากอะไร? (ให้ท่านอาจารย์เริ่มทวบทวนใหม่ แกยังสบสนไม่มั่นใจเรื่องรูปที่เกิดจากกรรมคืออะไรบ้าง) .
- รูปที่เกิดจากกรรมมีจักขุปสาท ใครก็ทำไม่ได้ นอกจากกรรมที่จะทำให้จักขุปสาทเกิดหรือไม่เกิด เพราะฉะนั้น จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาทเป็นรูปที่เกิดจากกรรม ต้นไม้ไม่มีจักขุปสาท ไม่มีโสตปสาท เพราะต้นไม้ไม่ได้เกิดจากกรรม เกิดจากอุตุ.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในความดีของคุณสุคิน ด้วยค่ะ
- เราพูดถึงสิ่งที่มีจริงเพื่อเข้าใจความจริงที่ กำลังมี ให้เข้าใจ สิ่งที่มีขณะนี้ถ้าไม่รู้เลยละความเป้นเราไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ใครก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์แสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้.
- ใครจะรู้บ้างว่า ขณะนี้รูปต่างกัน เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากจิตเดินไปเดินมา ทำอาหาร เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน รูปที่เกิดจากอุตุทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นต้น รูปที่เกิดจากอาหารทำให้ร่างกายเจริญเติบโต.
- ขณะเกิดมีรูปเกิดด้วยจากกรรมหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น พระธรรมนะ ต้องเริ่มเป็นคนที่ไตร่ตรอง คิดพิจารณาละเอียดเพราะพระธรรมลึกซึ้ง ถ้าเพียงแต่รู้จักชื่อ จำได้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ได้ (ขอตอบ ตอนที่เกิดไม่มีรูปที่เกิดจากกรรม) มีแต่จิต เจตสิกหรือ? (เข้าใจว่าต้องมีรูป แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม) เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ต้องรู้ว่า รูปที่เกิดพร้อมจิต เจตสิก ต้องเป็นรูปที่เกิดจากกรรม กรรมที่ทำให้จิตที่เป็นวิบาก เจตสิกที่เป็นวิบาก เกิดพร้อมกันกับรูปที่เกิดจากกรรม นี่เป็นเหตุที่เราย้อนกลับไปให้เขาเข้าใจมั่นคงขึ้น เพราะเขาตอบว่า รูปที่เกิดจากกรรมก็มี แต่เราถามถึงขณะเกิดว่า ขณะนั้นมีรูปที่เกิดจากกรรมหรือเปล่า เพื่อให้เขามั่นคง.
- รูปที่เกิดพร้อมกับวิบากจิต และเจตสิกในขณะที่เกิดเป็นผลของกรรมเดียวที่ทำให้จิต เจตสิกที่เป็นวิบากเกิดหรือเปล่า? (เป็นกรรมเดียวกัน) นี่เป็นเหตุที่แต่ละคนมีตาต่างกัน มีผิวต่างกัน มีรูปร่างลักษณะต่างๆ กันเป็นสัตว์เป็นบุคคล รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกันเลยเพราะกรรมต่างกันมาก.
- ผิวหนังของลิง ของงู ของคน ของนก ต่างกันไหม? (ต่างกัน) คุณอาช่า คุณมาธุ ดิฉัน คุณซาร่า คุณโจนาธาน ต่างกันเพราะกรรมใช่ไหม รูปต่างกันเพราะกรรมด้วย? (ใช่) เริ่มเข้าใจกรรม ผลของกรรม ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าจิตขณะนี้เกิดดับเร็วเท่าไหร่ จำนวนเท่าไหร่ แต่ก็ปรากฏเป็นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของขณะนั้นได้เลย.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- ถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังมี ไม่สามารถที่จะดับความเห็นว่าเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย นี่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งซึ่งถ้าไม่ฟังด้วยความเข้าใจจริงๆ จะไร้ประโยชน์.
- ทบทวนอีกครั้งนะ ขณะเกิดมีอะไรบ้าง? (มีจิต เจตสิก รูป) ดีมาก เพราะฉะนั้น แต่ละคนชีวิตเริ่มต่างกันตั้งแต่เกิด ไม่ว่าต่อไปจะต่างกันอย่างไรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงภาวะความเป็นจริงของสิ่งที่มี.
- ขณะเกิดเป็นผลของกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ยังไม่ปรากฏเป็นรูปร่างคน สัตว์ งู นก เราจะพูดถึงธรรมอย่างละเอียด เพื่อให้รู้ความจริงจนกระทั่งสามารถเข้าใจความจริงได้ตามลำดับ.
- ขณะเกิดมีรูปอะไรบ้าง? (มีมหาภูตรูป และรูปที่เกิดกับมหาภูตรูป) ขอโทษนะ ขอโทษ ไม่ได้ถามว่ามีรูปอะไรบ้าง แต่ถามว่า ขณะเกิดมีจิตที่เป็นวิบาก มีเจตสิกที่เป็นวิบาก กับรูปที่เกิดจากกรรมใช่ไหม เท่านั้น (ใช่) ขณะเกิดมีตาไหม? (ไม่มี) จมูก ลิ้น กาย มีไหม? (ไม่มี) ไม่มีแล้วมีรูปอะไร? (หทยวัตถุ) ใครเป็นคนบอกเขา? (เคยได้ยิน) เพราะฉะนั้น ต้องไตร่ตรอง หทยวัตถุ คือ อะไร ไม่ใช่ได้ยินเฉยๆ แต่ต้องคืออะไร จะได้เข้าใจด้วย? (ครับ) ครับหมายความว่าอย่างไร? (ครับ หมายความว่าต้องเข้าใจว่า หทยวัตถุคืออะไร) แล้วเข้าใจหรือยัง? (จิตคิด ต้องเกิดจากรูปนี้เป็นสมุฏฐาน ที่เราเรียกว่า หทยวัตถุ) แสดงว่าการศึกษาไม่ละเอียด ไม่ถูกต้อง.
- เพราะฉะนั้น ต้องเรียนให้ลึกซึ้ง และเข้าใจถูกต้อง ธรรมที่ลึกซึ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะเกิดมีรูปเกิดหรือเปล่าถามอีกครั้งหนึ่ง? (มี) มีนะ เพราะฉะนั้น รูปนั้นเป็นรูปที่ตั้งของจิต เจตสิก ที่เกิดเพราะ จิตเกิดนอกจากรูปไม่ได้เลยในภูมิที่มีรูป ถ้าไม่รู้จักรูปนี้ เราก็เพียงจำว่า จิตไหนเกิดที่ไหนเท่านั้น.
- เพราะฉะนั้น ขณะที่จิตเกิดครั้งแรกเป็นปฏิสนธิจิต ต้องมีรูปที่เกิดจากกรรม เป็นที่ตั้งให้จิตนั้นเกิดขึ้นได้ด้วย เพราะฉะนั้นกรรมนั้นทำให้รูปหนึ่งเกิดขึ้นซึ่งจะต้องมีรูป ๘ รูปเกิดร่วมด้วยตามที่เคยฟังมาแล้ว มหาภูตรูป ๔ และ สี กลิ่น รส โอชา รวมเป็น ๘ ต้องมีรูปอื่น มิเช่นนั้น ๘ รูปก็เหมือนรูปทั่วๆ ไป เพราะฉะนั้น รูปนั้นเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน.
- รูปทุกรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ต้องมีอีกรูปหนึ่งรักษารูปนั้นให้เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น คือ ชีวิตินทริยรูป เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดจากกรรมทุกรูปไม่เว้นเลยต้องมีรูปหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นให้รูปนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตต่างกับรูปอื่น เพราะฉะนั้น รูปที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นรูปที่มีชีวิตต่างกับรูปอื่นเป็นชีวิตินทริยรูป ต้องเกิดจากรูปที่เกิดจากกรรมทุกขณะ.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- นี่เป็นเหตุที่รูปอื่นทั้งหมดไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรม เพราะรูปนั้นไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้น นี่เป็นเหตุที่รูปปั้น หรือรูปวาดของคนของสัตว์ เรารู้ได้ว่าไม่ใช่สัตว์ เพราะเหตุว่า รูปนั้นไม่มีชีวิตินทริยรูป.
- รูปของคนเป็น สัตว์เป็น นกเป็น งูเป็น ต่างกับรูปของงูตาย คนตาย นกตาย เพราะไม่มีชีวิตินทริยรูป นี่คือความเป็นไปที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมที่ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะเกิดดับเร็วอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จะไม่สามารถเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีใครเลยนอกจากธรรมที่เกิดขึ้นดับไปตามเหตุตามปัจจัย.
- ที่เขาได้ฟังมาแล้วทั้งหมดเขาคิดเองได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ที่เขากำลังได้ยินไม่ใช่ปราศจากเหตุ แต่มีเหตุที่ทำให้เกิดการได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ครับ) .
- ทุกคนได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน แต่ความเข้าใจต่างกัน ความละเอียดลึกซึ้งต่างกันตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา.
- การฟังธรรมของแต่ละคนในชาตินี้ กับการฟังธรรมของบุคคลในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพานต่างกันตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ขณะนี้แต่ละคนสำนึกรู้จักตัวเองว่ากำลังเริ่มต้นที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง เพื่อจะถึงความลึกซึ้งเหมือนผู้ที่ได้เฝ้าและฟังธรรมจากพระโอษฐ์ในครั้งนั้น.
- เพราะฉะนั้น การได้เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกทุกชาติ.
- ความรู้แค่นี้ยังไม่พอนะ เพราะฉะนั้น ชีวิตที่มีต่อไปเพื่อเข้าใจพระธรรมและให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรมด้วย เป็นสิ่งที่มีค่าและมีประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์ สามารถจะมีชีวิตเพื่อที่จะได้เข้าใจพระธรรม และทำสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย.
- พระธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะรู้ได้ จึงต้องฟังแล้วฟังอีก ไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกในสิ่งเดียวที่กำลังปรากฏ คิดไตร่ตรองในขณะนั้นแล้วๆ เล่าๆ กว่าจะมีความเข้าใจละเอียดเพิ่มขึ้นมากขึ้น จึงจะละความไม่รู้ในสิ่งนั้นได้.
- เพราะฉะนั้น จึงต้องพูดถึงจิตแม้ขณะเดียว คือ ขณะเกิด ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น จะสามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น เราพูดถึงจิตขณะแรกที่เกิด พูดถึงรูปขณะแรกที่เกิดกลับไป เพื่อให้เข้าใจความจริงว่า ผลของอกุศลกรรมทั้งหมดมีเท่าไหร่ งู นก มีอกุศลวิบากไหม? (มี) มีอกุศลวิบากไหม เกิดเกิดเป็นคน? (มี) นรกมีอกุศลวิบากไหม? (มี) อกุศลวิบากในนรกมีเท่าไหร่? (มี ๗) อกุศลวิบากของมนุษย์มีเท่าไหร่? (มนุษย์ก็มี ๗) อกุศลวิบากของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเท่าไหร่? (มี ๗) เกิดในนรก เกิดในมนุษย์ต่างกันอย่างไรในอกุศลวิบาก? (ต่างกันตรงที่ว่า ๗ นี้ ๗ แน่นอนไม่เกินไม่น้อยกว่ากันแต่ความรุนแรงของวิบากจะเกิดมากขึ้นหรือน้อยกว่าต่างกันตรงนี้) ถูกต้อง.
- รูปในขณะที่เกิดมีรูปอะไรบ้าง เกิดจากอะไรบ้าง? (เกิดจากกรรม) มีรูปที่เกิดจากจิต มีรูปที่เกิดจากอุตุหรือยัง? (เฉพาะรูปที่เกิดจากกรรม) มีรูปที่เกิดจากอาหารหรือยัง? (แกกำลังคิดอยู่ ไม่แน่ใจ) คิดเองได้ไหม? (รู้ด้วยตัวเองไม่ได้) ต้องไม่ลืมนะ ขณะเกิดกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นมีรูปที่เกิดจากกรรมเท่านั้น.
- ลืมหรือยังว่า ขณะเกิดเราได้กล่าวถึงรูปที่เกิดจากกรรม รูปอะไรบ้าง? (๔ มหาภูตรูป และก็ ๔ รูปที่เกิดกับมหาภูตรูป และก็ชีวิตินทริยรูป) และรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตด้วยใช่ไหม อีกรูป? (ครับ) และก็ภาวรูปคนละหนึ่งเป็นอิตถีภาวรูป ๑ หรือปุริสภาวรูป ๑ (เข้าใจ) เข้าใจว่าอย่างไร? (เข้าใจว่า ตอนนั้นต้องมีรูป หนึ่งในสองรูปนี้เกิดด้วย) แยกกันใช่ไหม ไม่ใช่เกิดพร้อมกันกับรูปอื่น? (ครับ ต้องแยกกัน) .
- เพราะฉะนั้น วันนี้เราคงจะไม่เรียนเรื่องรูป แต่ต่อไปจะค่อยๆ กล่าวถึง แต่ละเรื่องก็ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะเรียนเรื่องอกุศลวิบาก ๗ ดวง ต่อจากคราวก่อน อกุศลวิบากมีเท่าไหร่? (๗) อะไรบ้าง? (จักขุวิญญาณ โสตวิญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญาณ สัมปฏิจฉันนะ และสันตีรณะที่เป็นอกุศลวิบาก) สัมปฏิจฉันนจิตคืออะไร? (เป็นจิต) ทำกิจอะไร จักขุวิญาณเห็น โสตวิญาณได้ยิน ... .? (รับอารมณ์) หมายความว่าต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง จิตใดๆ ที่ไม่ใช่จักขุวิญญาณไม่เห็น แต่รู้อารมณ์นั้นได้โดยกิจต่างๆ .
กราบเท้าบูาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- จิตใดๆ ที่ไม่ใช่จักขุวิญญาณไม่เห็น แต่รู้อารมณ์นั้นได้โดยกิจต่างๆ เห็นความน่าอัศจรรย์ไหม? จิตเห็น เกิดขึ้นเห็น หนึ่งขณะเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ปรากฏว่า เห็น ไม่ได้ดับไปเลยเหมือนเห็นตลอดวัน น่าอัศจรรย์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่เป็นจริงโดยการแสดงขณะจิตทุกขณะให้เข้าใจว่า ความจริงไม่ใช่อย่างที่กำลังปรากฏว่าเห็นไม่เคยดับเลย.
- เรากำลังเรียนให้เข้าใจสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายทุกวันว่าเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จิตก่อนเห็น เห็นไหม? (ไม่เห็น) เห็นดับ จักขุวิญญาณดับ จิตที่เกิดต่อเห็นไหม? (ไม่เห็น) ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้สามารถที่จะละคลายความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายได้ เพียงเห็นเท่านี้ยังละกิเลสอะไรไม่ได้เลย.
- เป็นสิ่งที่งามที่สุดในสังสารวัฏฏ์ น่าปีติอย่างยิ่งที่มีโอกาสเริ่มเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย มิฉะนั้น ก็จะอยู่ในโลกของความมืดสนิทที่จะออกจากความมืดสนิทไม่ได้เลย มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเกิดดับเกิดดับแต่ละชาติไม่จบสิ้นโดยที่ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้น เราเรียนให้เข้าใจรู้จักความจริงว่า แต่ละวันมีจิตหลายประเภทมากที่เกิดดับตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น.
- จิตเกิดดับมากมายนับไม่ถ้วน แต่เราก็สามารถเข้าใจความต่างโดยประเภทนั้นๆ ของจิต เพราะฉะนั้น เราจะเริ่มเข้าใจว่า ไม่ว่าเกิดดับกี่ชาติจิตต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ หลายนัย นัยหนึ่งคือ มีจิตที่เกิดกับโลภะ โทสะ โมหะ หรืออโลภะ อโทสะ อโมหะกับมีจิตซึ่งไม่มีเหตุ ๖ นี้เกิดร่วมด้วยเลย.
- วันหนึ่งๆ ขณะใดที่จิตเห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงหรืออโลภะ อโทสะ อโมหะ เกิดร่วมด้วย เพราะจิตนั้นเกิดขึ้นเพียงเห็นทำกิจเห็นเท่านั้น บังคับไม่ได้บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่ขณะนี้เรากำลังเริ่มด้วยอกุศลวิบากจิต ๗ ที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะเกิดร่วมด้วย เพื่อที่จะดูว่าจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยทั้งหมดมีเท่าไหร่.
- เพราะฉะนั้น มีอเหตุกจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเป็นอกุศลวิบากเท่าไหร่แล้วที่เราเรียนมา? (๗) ที่เราพูดถึงเดี๋ยวนี้เราพูดกันแล้วเท่าไหร่? (๗ ครับ) ๖ ไม่ใช่หรือ ถึงสัมปฏิจฉันนะใช่ไหม? (๖ ครับ) .
- สัมปฏิจฉันนะรู้อะไรไหม? (รู้) รู้อะไร? (รู้อารมณ์ที่เห็นก่อนหน้านั้นเกิด) รู้แค่ไหน? (ถ้าพูดถึงจิต จิตก็รู้อารมณ์ทั่วตามหน้าที่จิตทุกจิต) แต่รู้แจ้ง ลักษณะของจิตรู้แจ้งอารมณ์ แต่จิตต่างกันตามกิจหน้าที่ใช่ไหม? (ครับ) เพราะฉะนั้น จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นอย่างเดียวเท่านั้นแล้วดับ เพราะฉะนั้น สัมปฏิจฉันนะเกิดรู้แจ้งอารมณ์เพียงแค่รับเท่านั้นเอง รู้แจ้งจึงรับ ทำกิจรับ.
- สัมปฏิจฉันนะทำอย่างอื่นนอกจาก รู้แล้วรับ ใช่ไหม เพียงรับในสิ่งที่ปรากฏให้รู้ใช่ไหม? (ใช่) สัมปฏิจฉันนะเห็นไหม? (ไม่เห็น) รู้อะไรได้ไหม มากๆ ? (ไม่ได้) ถ้าไม่รับไว้จิตที่เกิดต่อจะรู้อะไรไหม? (ไม่รู้) สัมปฏิจฉันนะดับไหม? (ดับครับ) เมื่อสัมปฏิจฉันนะรับอารมณ์ต่อดับไป จิตที่เกิดต่อรู้อะไร? (จิตที่เกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนะก็จะรู้อารมณ์เดียวกับที่สัมปฏิจฉันนะรู้ครับ) แต่ไม่ได้รับใช่ไหม? (ใช่) เพราะสัมปฏิจฉันนะรับแล้วจิตที่เกิดต่อก็รู้ในสิ่งนั้นที่สัมปฏิจฉันนะรับไว้.
- อกุศลวิบากจิต ๗ ดวงต่างกันไหม? (ต่างกันตรงกิจ) เพราะฉะนั้น อกุศลวิบากจิตทั้งหมดมีเท่าไหร่? (๗) ถึงเวลาที่จะพิจารณาว่า กรรมทำให้อกุศลวิบากจิตดวงไหนเกิด ทำกิจนี้ ทำกิจปฏิสนธิ? คิดออกไหม ๗ ดวง ดวงไหนจะทำปฏิสนธิ? (สันตีรณะ) เพราะอะไร? (เพราะสันตีรณะรับอารมณ์ต่อจากสัมปฏิจฉันนะรับรู้ไม่ใช่แค่รับรู้อย่างสัมปฏิจฉันนะแต่รู้มั่นคงกว่า มีแต่จิตดวงนี้ใน ๗ ที่ทำปฏิสนธิได้) เพราะเหตุว่า ระหว่างสัมปฏิจฉันนะกับสันตีรณะ สัมปฏิจฉันนะเพียงรับไว้เท่านั้นแต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้ในสิ่งที่รับไว้มากกว่านั้น แต่สันตีรณะสามารถที่จะ ไม่ได้ทำกิจรับไว้แต่รู้ในสิ่งที่สัมปฏิจฉันนะรับไว้.
- ต่อไปนี้จะรู้ว่า อกุศลวิบากมี ๗, ๖ ดวงทำอะไรไม่ได้เกินกว่านั้น แต่สันตีรณะเป็นจิตที่เป็นวิบากที่รู้ จากนั้นจะไม่มีอกุศลวิบากเลย ด้วยเหตุนี้อกุศลวิบากจะทำกิจมากกว่า ๑ กิจ เท่าที่เขารู้เดี๋ยวนี้สันตีรณะทำกิจอะไรบ้าง กี่กิจ ตอนนี้เราจบสัมปฏิจฉันนะ จบจักขุวิญญาณหมด เรากำลังพูดถึงเฉพาะสันตีรณจิต? (๒ กิจครับ สันตีรณิจ ๑ และปฏิสนธิกิจ ๑) ลองคิดอีกหน่อย คิดเองนะ มีกิจอื่นอีกไหมนอกจากปฏิสนธิ? (เท่าที่คิดได้มี ๔ ครับ สันตีรณกิจ ปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ และจุติกิจครับ) เพราะฉะนั้น เราจะศึกษาธรรมเพื่อจะเข้าใจไปทีละน้อย ไม่ใช่รู้มากแล้วก็ลืม เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราจะรู้ว่า เพราะเหตุใดจิตเหล่านี้จึงเป็นอเหตุกจิต เราต้องเรียนให้เข้าใจอเหตุกจิตดีแล้วจะไม่ลืมเลย.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- เพราะฉะนั้น ชีวิตแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเหตุ คือ กรรม อีกส่วนหนึ่งเป็นผลของกรรม ไม่ใช่เพื่อจำชื่อจำเรื่องแต่เพื่อเข้าใจความจริงตั้งแต่เกิดจนถึงก่อนจะตายทั้งหมด.
- เพราะฉะนั้น ชื่อว่าอเหตุกจิตหมายความว่า จิตนั้นไม่มีโลภะเกิดร่วมด้วย ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีอโลภะ ไม่มีอโทสะ หรือปัญญาเจตสิกคือ อโมหะเกิดร่วมด้วยเพราะอะไร? เพื่อให้เข้าใจความจริงไม่ใช่ชื่อที่จำว่า เดี๋ยวนี้ขณะนี้เป็นอะไร เป็นผลของกรรมหรือเป็นกรรม เพียงแค่รู้ว่าเป็นผลของกรรมไม่พอ ต้องรู้ว่ากรรมดีให้ผลอย่างไร กรรมชั่วให้ผลอะไรบ้าง และเมื่อไหร่กรรมให้ผล ทางไหน.
- เกิดมาขณะแรกคือ ปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรม เราไม่ได้พูดถึงว่าเป็นผลของกรรมแต่ให้รู้ว่า ขณะไหน จิตอะไรเท่านั้นที่เป็นผลของกรรมขณะนั้น เกิดมาต่างกันต้องเป็นผลของเหตุที่ต่างกัน ถ้าไม่บอกถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงกุศลกรรม อกุศลกรรม อะไรให้ผลมากกว่ากัน.
- มีคำถามอะไรไหม? (อาช่า: เท่าที่รู้ผลของอกุศลกรรมมี ๗ ส่วนผลของกุศลกรรมนี่ยังไม่รู้ว่ามากกว่าหรือน้อยกว่าอย่างไร) ลองคิดถึงเหตุผลนะ กรรมไหนจะเกิดยากกว่ากัน? (อกุศลเกิดง่ายกว่า) ค่ะ เพราะฉะนั้น กว่าจะเกิดกุศลได้ต้องมีกุศลหลายๆ อย่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้นจึงเป็นกุศลได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นสิ่งที่เกิดยาก และต้องอาศัยสิ่งที่ดีหลายๆ อย่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ย่อมต้องให้ผลมากกว่า เพราะฉะนั้น กุศลมีหลายระดับตามกำลังของกุศลจึงให้ผลมากหลายระดับตามกำลัง.
- เกิดมาจนตายไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสสิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจถูกว่า เกิดแล้วเห็นเมื่อไหร่ ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นผลของกรรมแน่นอนเพราะเลือกไม่ได้ว่าจะเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามชีวิตจริงๆ ที่เจ็บ ไม่ชอบใจ แล้วก็เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ขณะนั้นเป็นผลของกรรมเพราะไม่มีใครทำ แต่เกิดแล้วตามกรรมที่ได้ทำแล้ว ต้องเห็น ต้องได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ดี.
- เริ่มเข้าใจความจริงว่า ชีวิตมีส่วนหนึ่งเป็นผลของกรรมที่ต้องเกิด และอีกส่วนหนึ่งเป็นกรรมที่กระทำที่จะให้เกิดผลต่อไปซึ่งเรายังไม่ได้กล่าวถึงนะ เพราะต้องเป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุ.
- เกิดมาแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทุกคนใช่ไหม? (ใช่) ถ้ารู้สิ่งที่ปรากฏ ๕ ทาง ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะเกิดร่วมด้วยเพราะเป็นขณะจิตที่สั้นที่กรรมทำให้เกิดอกุศลวิบากจิต ๗ ดวง (ท่านอาจารย์กรุณาพูดใหม่ครับ) หมายความว่า เราเกิดมามีการเห็น มีการได้ยินแล้วก็ ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเพราะเพียงเห็น เพียงได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเท่านั้น ต่อจากนั้นจิตประเภทอื่นเกิด ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่สิ่งที่กระทบสัมผัส.
- เริ่มเข้าใจความต่างของเหตุ และความต่างของผลคือวิบาก เริ่มเข้าใจความหมายของอเหตุกะที่เกิดขึ้นเพียงทำหน้าที่ที่เป็นอกุศลวิบาก ๗ สงสัยอะไรไหม? (อาช่า: ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์พูดว่า วันๆ ก็มีจิต ๒ ประเภทโดยนัยใหญ่ๆ คือ เป็นผลของกรรม ๑ และเป็นเหตุ ๑ ขอฟังเรื่องนี้) นี่เป็นการที่ต้องเข้าใจเหตุกับผล ที่ว่า สำหรับจิตไม่ประกอบด้วยเหตุเป็นอกุศลวิบาก ๗ แต่เป็นกุศลวิบาก ๘ สำหรับกุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเหมือนจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ แต่มี ๘ เพราะเหตุว่ากุศลเกิดยาก.
- เพราะฉะนั้น ต่อไปเราจะพูดถึงอเหตุกะที่เป็นกุศลวิบาก ๘ เพื่อแสดงความต่างกันของผลที่ประกอบด้วยเหตุและไม่ประกอบด้วยเหตุ จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมดมีเท่าไหร่? (ไม่ทราบ) จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมด ๑๘ ชนิด มี ๒ ชาติ วิบาก ๑๕ ประเภท และเป็นกิริยา ๓ ประเภท แสดงให้เห็นว่าจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมดมี ๑๘ เท่านั้น จิตมีมากมายมากๆ ๆ แต่ที่ปรากฏในชีวิตจริงๆ ก็แค่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก ๖ ทาง เราจะพูดถึงจิตที่ปรากฏให้รู้จริงๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย.
- เราพูดถึงอเหตุกะคือจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุที่ผ่านมาคือ อกุศลวิบาก ๗ ต่อไปนี้เราจะพูดถึงกุศลวิบาก ๘ ที่เป็นอเหตุกะ เป็นจิตที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมดี เพราะฉะนั้น เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบกายที่น่าพอใจ และก็สัมปฏิจฉันนะที่อกุศลวิบาก ๑ ที่เป็นกุศลวิบาก ๑ สันตีรณะอกุศลวิบาก ๑ แต่สันตีรณะกุศลวิบาก ๒ เพราะฉะนั้น อเหตุกะวิบากทั้งหมดจึงมี ๑๕ เพราะฉะนั้น สำหรับสันตีรณะกุศลวิบากที่เกิดกับความรู้สึกเฉยๆ อทุกขมสุข ๑ และที่เกิดกับโสมนัส ๑ เพราะฉะนั้น ที่รู้ได้คือจิต ๑๐ ดวง แต่ที่รู้ไม่ได้ก็คือ สัมปฏิจฉันนะ และสันตีรณะแม้มีก็รู้ไม่ได้ แต่สามารถเริ่มเข้าใจได้ว่ามี.
- กรรมที่ละเอียดที่ประณีตก็ให้ผลเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต่างกัน กุศลวิบากต้องรู้สิ่งที่ดีอารมณ์ที่ดี แต่กรรมที่เป็นกุศลประณีตขึ้นๆ ก็ทำให้กุศลวิบากเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่น่าพอใจมากขึ้นๆ กลิ่นหอมมีหลายกลิ่นมาก เป็นกลิ่นหอมนิดหน่อย เป็นกลิ่นหอมมาก เป็นกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนกลิ่นหอมใดๆ ก็มี เพราะฉะนั้น สัมปฏิจฉันนะไม่ใช่สันตีรณะเพียงรับไว้ แต่สันตีรณะรู้สิ่งที่สัมปฏิจฉันนะรับไว้จึงมีความรู้สึกเป็นสุขหรือเฉยๆ นิดหน่อยในสิ่งที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันก็แสดงว่า บางครั้งเรารับสิ่งที่น่าพอใจมากมีความรู้สึกเป็นสุขแม้สันตีรณะที่รู้อารมณ์นั้นก็รับอารมณ์มาด้วยความรู้สึกเป็นสุข.
- เดี๋ยวนี้มีโสมนัสสันตีรณะไหม? (มีค่ะ) แน่ใจหรือ? (อาช่าตอบว่ามี เพราะรู้สึกมีโสมนัสอยู่) แต่เขาจะรู้ไหมว่าเป็นโสมนัสสันตีรณะหรือไม่ใช่สันตีรณะที่เป็นโสมนัส (ไม่สามารถรู้ได้) นี่เป็นเหตุที่เราค่อยๆ เรียน ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ละความไม่รู้ จนกระทั่งรู้ว่า ไม่ใช่เราแน่นอน เป็นธรรมแต่ละ ๑ นี่เป็นความละเอียดอย่างยิ่งที่เราเริ่มจะรู้ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยินต่างๆ ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมไม่ใช่เรา.
- ขณะนี้เริ่มเข้าใจขึ้นของอกุศลวิบาก ๗ แล้วใช่ไหม? (ใช่) อกุศลวิบาก ๗ ทำกิจอะไรบ้างก็เริ่มรู้แล้วใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น คราวหน้าเราจะพูดถึงกุศลวิบากอเหตุกสันตีรณะ วันนี้ก็ยินดีอย่างยิ่งนะคะในกุศลของทุกท่านที่เริ่มมั่นคงในการเห็นประโยชน์ของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ