นกมูลไถ กับ เหยี่ยว [สกุณัคฆิชาดก]
โดย khampan.a  19 ส.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 21589

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ ๑๑๓

๘. สกุณัคฆิชาดก

(ว่าด้วยเหยี่ยวนกเขา)

[๑๘๕] เหยี่ยวนกเขาบินโผลงด้วยกำลัง หมายใจ

ว่าจะเฉี่ยวเอานกมูลไถ ซึ่งจับอยู่ที่ชายดงเพื่อ

หาเหยื่อ โดยฉับพลัน เพราะเหตุนั้นจึงถึงความ

ตาย.

[๑๘๖] เรานั้นเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุบาย ยินดีแล้ว

ในโคจรอันเนื่องมาแต่บิดา เห็นอยู่ซึ่งประโยชน์

ของตน จึงหลีกพ้นไปจากศัตรู ย่อมเบิกบานใจ.

จบ สกุณัคฆิชาดกที่ ๘

อรรถกถาสกุณัคฆิชาดกที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง

ปรารภพระสูตรว่าด้วยโอวาทของนก อันเป็นพระอัธยาศัยของ

พระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า เสโน พลสา

ปตมาโน ดังนี้.

ความพิสดารมีอยู่ว่า วันหนึ่งพระศาสดาตรัสเรียกภิกษุ

ทั้งหลาย แล้วตรัสพระสูตรในมหาวรรคสังยุตต์นี้ว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปในโคจรอันเป็นวิสัยของบิดา

ของตนแล้วตรัสว่า พวกเธอจงยกไว้ก่อนเถิด เมื่อก่อนแม้ดิรัจฉาน

ทั้งหลายก็ละวิสัยของตนแล้วเที่ยวไปในที่เป็นอโคจร ไปสู่เงื้อมมือ

ของข้าศึก แต่รอดจากเงื้อมมือข้าศึกได้ ก็ด้วยความฉลาดใน

อุบาย เพราะตนมีปัญญาเป็นสมบัติ แล้วทรงนำเรื่องในอดีต

มาเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน

กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกมูลไถ อาศัยอยู่

ในก้อนดินที่ทำการไถ. วันหนึ่งนกมูลไถนั้นละถิ่นที่หากินเดิม

ของตนไปท้ายดงด้วยคิดว่า จักหาอาหารในถิ่นอื่น ครั้งนั้นเหยี่ยว

นกเขาเห็นนกมูลไถกำลังหาอาหารอยู่ จึงโฉบจับเอามันไป. เมื่อ

มันถูกเหยี่ยวนกเขาพาไป จึงคร่ำครวญอย่างนี้ว่า เราเคราะห์

ร้ายมาก มีบุญน้อย เราเที่ยวไปในที่อโคจรอันเป็นถิ่นอื่น ถ้า

วันนี้เราเที่ยวไปในที่โคจรอันเป็นถิ่นบิดาของตนแล้ว เหยี่ยว

นกเขานี้ไม่พอมือเราในการต่อสู้. เหยี่ยวนกเขาถามว่า ดูก่อน

นกมูลไถที่หาอาหารอันเป็นถิ่นบิดาของเจ้าเป็นอย่างไร. นกมูลไถ

ตอบว่า คือที่ก้อนดินคันไถน่ะซิ. เหยี่ยวนกเขายังออมกำลัง

ของมันไว้ จึงได้ปล่อยมันไปโดยพูดว่า ไปเถิดเจ้านกมูลไถ แม้

เจ้าไปในที่นั้นก็คงไม่พ้นเราดอก. นกมูลไถบินกลับไปในที่นั้น

ได้ขึ้นไปยังดินก้อนใหญ่ ยืนท้าเหยี่ยวว่า มาเดี๋ยวนี้ซิเจ้าเหยี่ยว

นกเขา. เหยี่ยวนกเขามิได้ออมกาลังของมัน ลู่ปีกทั้งสองโฉบ

นกมูลไถทันทีทันใด. ก็เมื่อนกมูลไถรู้ว่าเหยี่ยวนี้มาถึงเราด้วย

กาลังแรง จึงบินหลบกลับเข้าไปในระหว่างก้อนดินนั้นเอง. เหยี่ยว

ไม่อาจยั้งความเร็วได้ จึงกระแทกอกเข้ากับก้อนดินในที่นั้นเอง.

เหยี่ยวอกแตกตาถลนตายทันที.

พระศาสดา ครั้นทรงแสดงเรื่องในอดีตนี้แล้ว จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายแม้สัตว์เดียรัจฉานเที่ยวไปในที่อโคจร

อย่างนี้ ยังถึงเงื้อมมือข้าศึก แต่เมื่อเที่ยวไปในถิ่นหาอาหารอัน

เป็นของบิดาของตน ก็ยังข่มข้าศึกเสียได้ เพราะฉะนั้น แม้พวกเธอ

ก็จงอย่าเที่ยวไปในอโคจรซึ่งเป็นแดนอื่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เมื่อพวกเธอเที่ยวไปในอโคจรอันเป็นแดนอื่น มารย่อมได้ช่อง มาร

ย่อมได้อารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อโคจรอันเป็นแดนอื่นของ

ภิกษุคืออะไร คือกามคุณห้า กามคุณห้าเป็นไฉน กามคุณห้าคือ

รูปที่รู้ได้ด้วยตา ๑ เสียงที่รู้ได้ด้วยหู ๑ กลิ่นที่รู้ได้ด้วยจมูก ๑

รสที่รู้ได้ด้วยลิ้น ๑ โผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ๑ ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย นี้แลเป็นอโคจรเป็นแดนอื่นของภิกษุ เมื่อทรงบรรลุ

อภิสัมโพธิญาณแล้วจึงตรัสคาถาแรกว่า :-

เหยี่ยวนกเขาบินโผลงด้วยกำลังหมายใจ

ว่าจะเฉี่ยวเอานกมูลไถ ซึ่งจับอยู่ที่ท้ายดง เพื่อ

หาเหยื่อโดยฉับพลัน เพราะเหตุนั้นจึงถึงความ

ตาย.

ในบทเหล่านั้น บทว่า พลสา ปตมาโน ความว่า เหยี่ยว

โผลงด้วยกำลัง คือด้วยเรี่ยวแรงด้วยคิดว่า จักจับนกมูลไถ.

บทว่า โคจรฏฺานิย ความว่า เหยี่ยวโฉบเอานกมูลไถ ซึ่งออก

จากแดนของตนเที่ยวไปท้ายดงเพื่อหาอาหาร. บทว่า อชฺฌปฺปตฺโต

ได้แก่โผลง. บทว่า เตนุปาคมิ ได้แก่ เหยี่ยวถึงแก่ความตาย

ด้วยเหตุนั้น.

ก็เมื่อเหยี่ยวตาย นกมูลไถจึงออกมายืนบนอกของเหยี่ยว

ด้วยมั่นใจว่าเราชนะข้าศึกได้แล้ว เมื่อจะเปล่งอุทานจึงกล่าว

คาถาที่สองว่า :-

เรานั้น เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุบายยินดีแล้ว

ในโคจรอันเนื่องมาแต่บิดา เห็นอยู่ซึ่งประโยชน์

ของตน จึงหลีกพ้นไปจากศัตรู ย่อมเบิกบานใจ.

ในบทเหล่านั้นบทว่า นเยน ได้แก่อุบาย. บทว่า อตฺถมตฺตโน

ได้แก่ ความเจริญ กล่าวคือความปลอดภัยของตน.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรง

ประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุ

เป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผล เป็นต้น. เหยี่ยวในครั้งนั้นได้เป็น

เทวทัตในบัดนี้ ส่วนนกมูลไถ คือเราตถาคตนี้แล.

จบ อรรถกถาสกุณัคฆิชาดกที่ ๘.



ความคิดเห็น 1    โดย jaturong  วันที่ 14 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย Jans  วันที่ 9 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ