กราบสวัสดีท่านอาจารย์และท่านผู้รู้ครับ
มีสหายธรรมท่านหนึ่งถามว่า บุคคลที่ปฏิสนธิด้วยเหตุเพียงสองเหตุ สามารถเกิดสติปัฏฐานได้รึเปล่าครับ ผมตอบไม่ได้เลยขออนุญาตเรียนถามต่อครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ นั่นเอง ที่จะเป็นที่ตั้งให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และปัญญารู้ตามความเป็นจริง (สติปัฏฐาน) เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ไม่ใช่เรื่องหวัง ไม่ใช่เรื่องต้องการ ไม่ใช่เรื่องของความจดจ้อง ไม่ใช่เรื่องของการไปกระทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเห็นผิดและด้วยความไม่รู้ แต่เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับ
เรื่องเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่มีจริงเนืองๆ บ่อยๆ พิจารณาเหตุ ผล แล้วก็เจริญเหตุให้สมควรแก่ผลด้วย
ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ หนทางที่จะเป็นไป เพื่อการรู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็มีจริง แต่ต้องเป็นหนทางแห่งปัญญา เพราะฉะนั้นก็ต้องกลับมาที่ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แม้ว่าจะมีสภาพธรรมที่มีจริงก็ไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้เลย ย่อมไม่มีเหตุที่สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นได้เลย
ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงมาก่อน จึงฟังพระธรรมสะสมปัญญา สำหรับบุคคลผู้ที่ปฏิสนธิที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ คืออโลภเหตุกับอโทสเหตุ โดยที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นของการสะสมปัญญา จนกระทั่งสติปัฏฐานเกิดได้ เพราะสติปัฏฐานสำหรับบุคคลประเภทนี้ สามารถเกิดได้แต่ไม่สามารถถึงขั้นที่เป็น วิปัสสนาญาณ จนถึงบรรลุมรรคผล นิพพานได้ และที่น่าพิจารณาคือแม้จะเป็นบุคคลผู้ปฏิสนธิที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ คือมีปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าในชาตินั้นจะเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สติปัฏฐานเกิด วิปัสสนาญาณเกิด จนถึงบรรลุมรรคผลนิพพานได้ อย่างเช่น พระเทวทัต เป็นต้น จึงขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง
เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ในขณะนี้ ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในแต่ละครั้ง สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้าจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งการฟังแต่ละครั้งย่อมไม่ไร้ผล เพราะเป็นการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ซึ่งก็เป็นประโยชน์มากทีเดียว ครับ
เรียนถามเกี่ยวกับ ทวิเหตุกบุคคล
ปัญญาของผู้ที่ไม่ใช่ติเหตุกบุคคล
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา อาจารย์คำปั่นที่กรุณาอธิบายอย่างชัดเจนครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ ไม่บ้า ใบ้ พิการตั้งแต่กำเนิด ก็พอที่จะฟังพระธรรมเข้าใจได้ ไม่มากก็น้อย นั่นแสดงว่าปัญญาขั้นต้น สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะเป็นผู้ปฏิสนธิด้วยสองเหตุ เพราะเหตุที่สำคัญ คือ ได้มีการสะสมปัญญาความเข้าใจมาแต่ในอดีตชาติ แม้ชาตินี้จะปฏิสนธิด้วยเหตุเพียงสองเหตุ แต่เพราะอาศัยปัญญาที่สะสมมาในอดีตชาติก็ทำให้ฟังพระธรรมให้เข้าใจได้ครับ
โดยนัยเดียวกัน ในความละเอียดลึกซึ้ง ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยสองเหตุ แต่เพราะในอดีตชาติสะสมปัญญามา จนเคยเกิดสติปัฏฐาน สติปัฏฐานที่เกิดเป็นอุปนิสัยที่มีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย ทําให้ชาติปัจจุบันเมื่อได้ฟังพระธรรมก็เกิดสติปัฏฐานได้แม้ปฏิสนธิด้วยสองเหตุก็ตาม เพียงแต่ไม่ถึงวิปัสสนาญาณ ฌาน และมรรค ผล ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
กราบขอบพระคุณ อาจารย์ผเดิมที่กรุณาอธิบายครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ