คนเลี้ยงสัตว์ รักสัตว์ ควรวางจิตอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์กับมัน
โดย apiwit  3 เม.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 33989

เคยได้ยินว่าถ้าคนเรามีจิตผูกพันอยู่กับสิ่งใดมาก ๆ นั่นคือภพที่จะต้องเกิดต่อไป อย่างถ้าเราผูกพันหรือยึดติดอยู่กับสัตว์เลี้ยงมาก ๆ ต่อไปก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ ไปเป็นหมาเป็นแมว คือ ที่นำมากล่าวก็เพราะว่าตัวผมเองก็มีความผูกพันกับสัตว์มาก แต่ด้วยความรักความห่วงนี้เอง บางครั้งมันทำให้ใจเราไม่มีความสุข เหมือนมันเป็นภาระที่ต้องแบก ต้องรับผิดชอบ ต้องคอยคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้คือผมเลี้ยงหมาจรจัดมาได้ระยะหนึ่งนานพอสมควรแล้ว ด้วยความรักความเป็นห่วง ตอนกลางคืนก็อยากให้มันนอนในบ้านในเขตรั้วบ้านของเรา อย่างน้อยมันอยู่ในบ้านของเรามันก็ปลอดภัย แต่ผมก็ไม่ได้เอามาไว้ข้างในเพราะข้างในก็มีสัตว์เลี้ยง คือ แค่อยู่ในเขตรั้วบ้านก็พอ ไม่ได้เอาเข้าบ้าน ประมาณนั้น ซึ่งผมก็จะให้เวลาเค้าอิสระทั้งวันในการที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกหรือไปทำธุระส่วนตัว ตอนกลางคืนก็จะปิดรั้ว พอจะปิดรั้วก็จะตรวจดูรอบบ้านว่าอยู่ไหม บางทีต้องออกเดินค้นหาในหมู่บ้านเพื่อไปตามเค้ากลับมาก็มี ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ด้วยความรักความผูกพันเราก็มีความรู้สึกว่า เค้าเป็นของเรา แต่ช่วงหลัง พฤติกรรมเค้าเริ่มเปลี่ยน คือ กลางคืนนอนเฝ้าหน้ารั้วตลอดแล้วไม่ยอมให้ปิดรั้ว ทันทีที่ปิดรั้วเค้าก็จะกระโจนออกนอกบ้านทันที คือ เค้าทำให้ผมยิ่งเป็นห่วง บางคืนไปเตร็ดเตร่ทั้งคืนไม่ยอมกลับบ้านก็ยิ่งเป็นห่วง นอนไม่หลับ คือ เข้าใจว่าในความรู้สึกเค้าคงอยากเป็นอิสระ แต่ในความรู้สึกเรา เค้าเป็นของเรา เราไม่อยากเสียเค้าไป เราอยากให้เค้าอยู่กับเรานาน ๆ นี่แหละครับ ความผูกพัน บางครั้งความผูกพันที่มากเกินไปมันทำให้ใจหลงยึดติดแล้วไม่เป็นอิสระ เหมือนเป็นภาระที่ต้องแบก ตัวเค้าเองก็คงรู้สึกว่าเรากักขังจองจำเค้า คือ ก็อาจไม่มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย เหมือนผมกับเค้ามีพันธะที่ผูกมัดกันอยู่ มันเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดมา แล้วก็มีความยึดติดผูกพันแบบที่ไม่เป็นอิสระต่อกันและกัน ตอนฟังพระธรรม ท่านอาจารย์กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ตอนนี้ มันคือ สุนัขของผม แล้วผมก็อาจทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าสักวันหนึ่งสุนัขตัวนั้นอาจจากผมไปจริง ๆ ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายก็ตาม ผมจึงอยากขอคำชี้แนะ สำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์ รักสัตว์ ควรมีวิธีวางจิตอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์ ไม่ยึดติดผูกพันมากเกินไปจนเป็นเหมือนภาระที่ต้องแบก พร้อมที่จะยอมรับความจริงที่ต้องเกิดขึ้น ยอมรับการพรัดพราก ฯลฯ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 4 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความติดข้อง มีเป็นธรรมดา ห้ามไม่ให้ติดข้องก็ไม่ได้ เพราะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น มีธรรม (สิ่งที่มีจริง) ให้ได้ศึกษาอยู่ตลอด แม้ความติดข้อง ก็มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา และ เมื่อมีความติดข้องแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดเศร้าโศกเสียใจตามมาอีกได้ เมื่อพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่ชอบใจ เป็นต้น แต่ประเด็นที่ควรจะได้พิจารณาเพิ่มเติม คือ เพียงความติดข้อง แต่ไม่ถึงขั้น ล่วงเป็นทุจริตกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ เป็นต้น ก็ยังไม่เหตุให้ที่จะทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพียงสะสมเป็นอุปนิสัยที่ไม่ดีต่อไป แต่ก็จะประมาทกำลังของอกุศลไม่ได้เลย ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 2    โดย apiwit  วันที่ 4 เม.ย. 2564

อนุโมทนาสาธุครับ ก็จะพยายามพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริงไปเรื่อย ๆ ครับ จะได้ค่อยๆละคลายความติดข้องในใจ ห่วงในใจให้เบาลง แต่ก็คงต้องตามเหตุตามปัจจัยครับ ผมก็จะพยายามเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด พยายามวางใจเป็นอุเบกขาครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 4 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 


ความคิดเห็น 4    โดย ชัยวัฒน์  วันที่ 5 เม.ย. 2564

เรามีเมตตาแก่เขา ให้อาหาร ที่อยู่แก่เขา ก็บุญเราแล้ว ส่วนหลังจากนั้น เขาจะสุข ทุกข์เป็นเรื่องของเขา สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม แม้ตัวตนของเรา ก็ไม่เว้น

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย ปทุม  วันที่ 11 ก.ย. 2564

กราบขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ