เมื่อวานดิฉันเกิดความเศร้าใจที่นึกไม่ถึง หรือนึกอยู่บ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้ยิน
ดิฉันมีเพื่อนหญิงที่สนิทมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งปกติ ดิฉันไม่เคยเอ่ยถึงท่านอจ. หรือเรื่องของมศพ. ให้เธอฟังเลย เพราะแม้เธอจะมีใจไฝ่ธรรม แต่ก็เป็นไปในแนวทางที่ดิฉันมองว่า มีความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อนมาก เธอเป็นคนมั่นใจตนเอง และพูดแรง พูดตรงกับเพื่อนคิดว่า ถ้าพูดถึงธรรมะที่ดิฉันฟังอยู่ เธอต้องพูดอะไร ไม่น่าฟังแน่ จึงไม่ได้เล่าอะไรกับเธอ เมื่อวานนัดกันไปเยี่ยมไข้เพื่อนเก่า ที่ไม่พบกันนานเพราะว่าย้ายไปทำงานที่อื่น ดิฉันไปรับเธอช้า เพราะอยากฟังธรรมออนไลน์จนจบการสนทนา เธอต่อว่าและถามดิฉันว่า ฟังคนนี้ใช่ไหม ตามด้วยคำถากถางเยาะเย้ยสั้นๆ เป็นคำที่ไม่น่าฟัง และเรียกชื่อท่านอจ. ด้วยคำที่ดิฉันนึกไม่ถึง เธอบอกว่าเธอและลูกปิดวิทยุ และเปลี่ยนสถานีทุกครั้ง ที่ได้เวลาออกอากาศของทาง มศพ. ดิฉันไม่ตอบว่าอะไร และพูดคุยเรื่องอื่นต่อตลอดทางที่ออกเดินทางไปด้วยกัน ระหว่างนั้นดิฉันก็คิดว่า (แต่ช้ากว่าอกุศลไปแล้ว) เธอพูดจบไปแล้ว แต่ดิฉันยังนึกถึงอยู่ ยังเศร้าใจอยู่ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ ก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ทั้งที่รู้และเข้าใจ ดิฉันก็ยังวนเวียนอยู่กับโทสะเงียบๆ อย่างนั้น เป็นระยะเวลาหนึ่ง และเหตุการณ์นี้ ก็ยิ่งย้ำชัดขึ้นไปอีกว่า ธรรมะไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป แม้จะได้ยินอยู่ แม้ฟังอยู่ แม้ศึกษาอยู่ก็ตาม
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่
ธรรมะไม่ใช่สาธารณะ
เสียงของพระธรรม ไม่สาธารณะกับทุกคน
แล้วแต่การสะสมจริงๆ ครับ พระพุทธองค์ไม่ทรงทะเลาะกับชาวโลก แต่ชาวโลกผู้ไม่รู้จริง ไม่รู้ทั่ว ไม่รู้แจ้ง ไม่ประจักษ์ชัดในพระธรรม ที่ทรงแสดงไว้ต่างหาก ที่กำลังทะเลาะกับพระพุทธองค์ ทุกวันนี้ ก็เลยแบ่งออกเป็นนิกายต่างๆ สำนักต่างๆ ความเห็นของบุคคลต่างๆ หลากหลาย แต่ใครจะฉุกคิดถึงความถูกต้องจริงๆ ว่า คำสอนที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ในเมื่อต่างคนต่างก็ยึดเอาว่าของตนถูก ทั้งๆ ที่ความจริงสิ่งที่ถูก ที่มีจริง เป็นธรรมะ มีให้พิสูจน์ในขณะนี้แต่ไม่รู้ แล้วจะทำอย่างไรกับความไม่รู้ในเมื่อยังมีความยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นว่า ข้อปฏิบัติของตนไม่ผิด ไม่มีใครทำให้เขาเกิดคิดอย่างนั้น ไม่มีใครทำอะไรให้เราเสียใจ เพราะจริงๆ แล้ว ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมะ ที่เกิดตามเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีก...เท่านั้นจริงๆ ...เพื่อนร่วมสังสารวัฏฏ์ เมตตากันไว้นะครับ...อนุโมทนาครับ
"เพราะจริงๆ แล้ว ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมะที่เกิดตามเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเท่านั้นจริงๆ เพื่อนร่วมสังสารวัฏฏ์ เมตตากันไว้นะครับ "อนุโมทนาครับ"
เห็นด้วยกับคุณ ajarnkruo จริงๆ ค่ะ จึงเกิดความสงสัยว่า แล้วจะมีเหตุอะไรที่จะช่วยคนเหล่านี้ ให้ได้มีความเห็นถูกได้ หลานสาวคนหนึ่งของดิฉัน ก็แสดงคำพูดและอาการดูหมิ่นรำคาญเช่นกัน ด้วยดิฉันเห็นว่า เขาชอบทางนี้อยู่เหมือนกัน จึงนำ C.D.การแสดงธรรมของท่านอาจารย์ไปให้เขาฟัง เขาอยู่ต่างจังหวัด วันหนึ่งดิฉันได้กลับไปเยี่ยมบ้าน จึงได้สนทนากับเขาถามเขาว่าเป็นไงบ้าง เขาว่า รำคาญ ดิฉันจึงอึ้งไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ การทำบุญของหลานคนนี้คือ ไปที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระอยู่รูปเดียว นุ่งห่มด้วยจีวรแปลกๆ คือนำเศษผ้ามาเย็บต่อๆ กัน ชาวบ้านแถวนั้นศรัทธามาก ไปค้างคืนวันพระ รุ่งเช้าจึงกลับบ้าน วันพระไหน ไม่ได้ไปจะรู้สึกว่าเขาไม่มีความสุข ดิฉันเคยไปกับเขาครั้งหนึ่งเพื่อดูว่าเป็นอย่างไร ก็เห็นว่าไม่ใช่แหล่งที่จะพาให้พ้นทุกข์ได้ เป็นห่วงและเสียดายที่หลานคนนี้ จะไม่ได้รับการชี้แนะหนทางที่เขาอยากพบ ขอคำแนะนำด้วยว่าจะเริ่มต้นกับเขายังไงดีขอบพระคุณค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
ยอมรับว่าเศร้าใจเพราะความยึดว่า เป็นเขาเป็นเรานี่แหละค่ะ และเพราะความดีเรื่องอื่นของเขามีมาก ก็ยังต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อไป
ทั้งที่รู้และเข้าใจ ดิฉันก็ยังวนเวียนอยู่กับโทสะเงียบๆ อย่างนั้น เป็นระยะเวลาหนึ่ง
ขออนุโมทนาในความเป็นผู้ตรง และสามารถรักษาความเป็นเพื่อนไว้ค่ะ