พราหมณวรรค ที่ ๒๖ ว่าด้วยคุณธรรมของผู้เป็นพราหมณ์
โดย บ้านธัมมะ  26 ก.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 35071

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 416

พราหมณวรรค ที่ ๒๖

ว่าด้วยคุณธรรมของผู้เป็นพราหมณ์


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 43]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 416

คาถาธรรมบท

พราหมณวรรค (๑) ที่ ๒๖

ว่าด้วยคุณธรรมของผู้เป็นพราหมณ์

[๓๖] ๑. พราหมณ์ ท่านจงพยายามตัดกระแสตัณหา จงบรรเทากามทั้งหลายเสีย ท่านรู้ความสิ้นไปแห่งสังขารทั้งหลายแล้ว เป็นผู้รู้พระนิพพาน อันอะไรๆ กระทำไม่ได้แล้วนะ พราหมณ์.

๒. ในกาลใด พราหมณ์เป็นผู้ถึงฝั่งในธรรมทั้งสอง ในกาลนั้น กิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงของพราหมณ์ผู้รู้อยู่ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้.

๓. ฝั่งก็ดี ที่มิใช่ฝั่งก็ดี ฝั่งและที่มิใช่ฝั่งก็ดี ไม่มีแก่ผู้ใด เราเรียกผู้นั้นซึ่งมีความกระวนกระวายไปปราศแล้ว ผู้พราก (จากกิเลส) ได้แล้วว่า เป็น พราหมณ์.

๔. เราเรียกบุคคลผู้มีความเพ่ง ผู้ปราศจากธุลีอยู่แต่ผู้เดียว มีกิจอันกระทำแล้ว หาอาสวะมิได้ บรรลุประโยชน์อันสูงสุดแล้วนั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๕. พระอาทิตย์ ย่อมส่องแสงในกลางวัน พระจันทร์ย่อมรุ่งเรืองในกลางคืน กษัตริย์ทรงเครื่องรบแล้ว ย่อมรุ่งเรือง พราหมณ์ผู้มีความเพ่ง ย่อม


(๑) วรรคนี้ มีอรรถกถา ๓๙ เรื่อง.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 417

รุ่งเรือง ส่วนพระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดช ตลอดกลางวันและกลางคืน.

๖. บุคคลมีบาปอันลอยแล้วแล เราเรียกว่า พราหมณ์ บุคคลที่เราเรียกว่า สมณะ เพราะความประพฤติเรียบร้อย บุคคลขับไล่มลทินของตนอยู่ เพราะเหตุนั้น เราเรียกว่า บรรพชิต.

๗. พราหมณ์ไม่ควรประหารแก่พราหมณ์ ไม่ควรจอง (เวร) แก่เขา น่าติเตียนพราหมณ์ผู้ประหารพราหมณ์ น่าติเตียนพราหมณ์ผู้จอง (เวร) ยิ่งกว่า พราหมณ์ผู้ประหารนั้น. ความเกียดกันใจจากอารมณ์ อันเป็นที่รักทั้งหลายใด ความเกียดกันนั่นย่อมเป็นความประเสริฐไม่น้อยแก่พราหมณ์ ใจอันสัมปยุต ด้วยความเบียดเบียน ย่อมกลับได้จากวัตถุใดๆ ความทุกข์ย่อมสงบได้เพราะวัตถุนั้นๆ นั่นแล.

๘. ความชั่วทางกาย วาจา และใจของบุคคลใด ไม่มี เราเรียกบุคคลนั้น ผู้สำรวมแล้วโดยฐานะ ๓ ว่า เป็นพราหมณ์.

๙. บุคคลพึงรู้แจ้งธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วจากอาจารย์ใด พึงนอบน้อมอาจารย์นั้นโดยเคารพ เหมือนพราหมณ์นอบน้อมการบูชา เพลิงอยู่ฉะนั้น.

๑๐. บุคคลย่อมเป็นพราหมณ์ ด้วยชฎา ด้วย


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 418

โคตร ด้วยชาติหามิได้ สัจจะและธรรมมีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาด และผู้นั้น เป็นพราหมณ์.

๑๑. ผู้มีปัญญาทราม ประโยชน์อะไรด้วยชฎาทั้งหลายของเธอ ประโยชน์อะไรด้วยผ้าที่ทำด้วยหนังสัตว์ของเธอ ภายในของเธอรกรุงรัง เธอย่อมเกลี้ยงเกลาแต่ภายนอก.

๑๒. เราเรียกชนผู้ทรงผ้าบังสุกุล ผู้ผอม สะพรั่งด้วยเอ็น ผู้เพ่งอยู่ผู้เดียวในป่านั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๑๓. เราไม่เรียกบุคคลผู้เกิดแต่กำเนิด ผู้มีมารดาเป็นแดนเกิดว่าเป็นพราหมณ์ เขาย่อมเป็นผู้ชื่อว่าโภวาที เขาย่อมเป็นผู้มีกิเลสเครื่องกังวล เราเรียกผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ไม่ถือมั่นนั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๑๔. ผู้ใดแล ตัดสังโยชน์ทั้งปวงได้แล้ว ย่อมไม่สะดุ้ง เราเรียกผู้นั้น ผู้ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้องได้ ผู้หลุดพ้นแล้วว่า เป็นพราหมณ์.

๑๕. เราเรียกบุคคลผู้ตัดชะเนาะ เชือก และเครื่องต่อพร้อมทั้งสาย ผู้มีลิ่มสลักอันถอนขึ้นแล้ว ผู้รู้แล้วนั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๑๖. ผู้ใด ไม่ประทุษร้าย อดกลั้นซึ่งคำด่าและการตีและการจองจำได้ เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีกำลังคือขันติ มีหมู่พลว่า เป็นพราหมณ์.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 419

๑๗. เราเรียกผู้ไม่โกรธ มีวัตร มีศีล ไม่มีตัณหาเครื่องฟูขึ้น ผู้ฝึกแล้ว มีสรีระในที่สุดนั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๑๘. ผู้ใด ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำไม่ติดอยู่บนใบบัว เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลมฉะนั้น เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๑๙. ผู้ใด ในศาสนานี้แล รู้ชัดความสิ้นไปแห่งทุกข์ของตน เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีภาระอันปลงแล้ว ผู้พรากได้แล้วว่า เป็นพราหมณ์.

๒๐. เราเรียกผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เป็นปราชญ์ ฉลาดในทางและมิใช่ทาง บรรลุประโยชน์สูงสุดนั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๒๑. เราเรียกบุคคลผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยชนสองจำพวก คือ คฤหัสถ์ ๑ บรรพชิต ๑ ผู้ไม่มีอาลัยเที่ยวไป ผู้ปรารถนาน้อยนั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๒๒. ผู้ใด วางอาชญาในสัตว์ทั้งหลาย ผู้สะดุ้ง และผู้มั่นคง ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นฆ่า เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๒๓. เราย่อมเรียกบุคคลผู้ไม่เคียดแค้น ในบุคคลผู้เคียดแค้น ผู้ดับเสียได้ในบุคคลผู้มีอาชญาในตน ผู้ไม่ถือมั่นในบุคคลผู้ถือมั่นนั้นว่า เป็นพราหมณ์.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 420

๒๔. ราคะ โทสะ มานะและมักขะ อันผู้ใดให้ตกไปแล้ว เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดตกไปจากปลายเหล็กแหลมฉะนั้น เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๒๕. ผู้ใด พึงกล่าวถ้อยคำอันไม่ระคายหูอัน ให้รู้กันได้เป็นคำจริง อันเป็นเหตุไม่ยังใครๆ ให้ขัดใจ เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๒๖. ผู้ใด ไม่ถือเอาของยาวหรือสั้น น้อยหรือใหญ่ งามหรือไม่งาม อันเขาไม่ให้แล้วในโลกนี้ เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๒๗. ความหลังของผู้ใด ไม่มีในโลกนี้และโลกหน้า เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่มีความหลัง พราก (กิเลส) ได้แล้วว่า เป็นพราหมณ์.

๒๘. ความอาลัยของบุคคลใดไม่มี บุคคลใดรู้ชัดแล้ว เป็นผู้ไม่มีความสงสัยเป็นเหตุกล่าวว่าอย่างไร เราเรียกบุคคลนั้น ผู้หยั่งลงสู่อมตะ ตามบรรลุแล้วว่า เป็นพราหมณ์.

๒๙. ผู้ใด ล่วงบุญและบาปทั้งสองและกิเลส เครื่องข้องเสียได้ในโลกนี้ เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่มีความโศก มีธุลีไปปราศแล้ว ผู้บริสุทธิ์แล้วว่า เป็น พราหมณ์.

๓๐. เราเรียกผู้บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว มีภพ


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 421

เครื่องเพลิดเพลินสิ้นแล้ว เหมือนพระจันทร์ที่ ปราศจากมลทินนั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๓๑. ผู้ใด ล่วงทางอ้อม หล่ม สงสาร และโมหะนี้ไปแล้วเป็นผู้ข้ามไปได้ ถึงฝั่ง มีปกติเพ่ง หากิเลสเครื่องหวั่นไหวมิได้ ไม่มีความสงสัยเป็นเหตุ กล่าวว่าอย่างไร ไม่ถือมั่น ดับแล้ว เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๓๒. บุคคลใด ละกามทั้งหลายในโลกนี้แล้ว เป็นผู้ไม่มีเรือน งดเว้นเสียได้ เราเรียกบุคคลนั้นผู้มีกามและภพสิ้นแล้วว่า เป็นพราหมณ์.

๓๓. ผู้ใด ละตัณหาในโลกนี้ได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีเรือน เว้นเสียได้ เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีตัณหาและภพ อันสิ้นแล้วว่า เป็นพราหมณ์.

๓๔. ผู้ใด ละกิเลสเครื่องประกอบอันเป็นของมนุษย์ ล่วงกิเลสเครื่องประกอบอันเป็นของทิพย์ได้แล้ว เราเรียกผู้นั้น ซึ่งพรากกิเลสเครื่องประกอบ ทั้งปวงได้แล้วว่า เป็นพราหมณ์.

๓๕. เราเรียกบุคคลนั้น ซึ่งละความยินดีและความไม่ยินดีได้แล้ว ผู้เย็น ไม่มีอุปธิ ครอบงำโลกทั้งปวง ผู้แกล้วกล้าว่า เป็นพราหมณ์.

๓๖. ผู้ใด รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่ข้อง ไปดี รู้แล้ว


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 422

ว่า เป็นพราหมณ์. เทพยดาคนธรรพ์และหมู่มนุษย์ ย่อมไม่รู้คติของผู้ใด เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีอาสวะสิ้นแล้ว ผู้ไกลกิเลสว่า เป็นพราหมณ์.

๓๗. ความกังวลในก่อน ในภายหลัง และในท่ามกลางของผู้ใดไม่มี เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่มีความกังวล ไม่มีความยึดมั่นว่า เป็นพราหมณ์.

๓๘. เราเรียกบุคคลผู้องอาจ ประเสริฐ แกล้วกล้า แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้ชนะโดยวิเศษ ไม่หวั่นไหว ผู้ล้างแล้ว ผู้รู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.

๓๙. บุคคลใด รู้ขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน ทั้งเห็นสวรรค์และอบาย อนึ่ง บรรลุความสิ้นไปแห่งชาติ เสร็จกิจแล้ว เพราะรู้ยิ่ง เป็นมุนี เราเรียกบุคคลนั้น ซึ่งมีพรหมจรรย์อันอยู่เสร็จสรรพแล้วว่า เป็นพราหมณ์.

จบพราหมณวรรคที่ ๒๖