ทะเลภาพ กับ อวิชโชฆะ
โดย natural  27 ก.ย. 2559
หัวข้อหมายเลข 28235

เรียนรบกวนช่วยอธิบายเกี่ยวกับทะเลภาพกับอวิชโชฆะค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 27 ก.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทะเลภาพ ทะเลชื่อ หมายถึง บัญญัติธรรมนั่นเองคือเป็นเพียงเรื่องราวที่คิดนึกอันเกิดจากปรมัตถธรรม เช่นขณะที่เห็นย่อมเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น (สี) แต่เมื่อจิตทางมโนทวาร (ทางใจ วาระหลังๆ ) รับต่อ ก็คิดนึกเป็นเรื่องราวเป็นรูปร่างสัณฐานของสิ่งนั้นว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์ จึงเป็นทะเลภาพ ทะเลชื่อ เป็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งที่เพียงแค่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น และเมื่อคิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ จิตก็ปรุงแต่ง ให้เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ในเรื่องราวที่คิดนึก จากการเห็น ได้ยิน...เป็นต้น

อวิชชา (ความไม่รู้) โมหะ (ความเขลา ความหลง) และความไม่รู้ ทั้ง ๓ คำ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่เป็นอกุศลธรรม เป็นรากเหง้าของสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย เป็นสภาพธรรมที่ทำให้หมู่สัตว์ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น และเป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกชนิด เป็นความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

ดังนั้นก็อยู่ในห้วงน้ำของความไม่รู้ในขณะนี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ

เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ

ทะเลภาพ ทะเลชื่อหมายถึงอะไร

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย natural  วันที่ 28 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 28 ก.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใด ก็ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย แม้แต่ในเรื่องของทะเลภาพ ทะเลชื่อ ก่อนอื่นก็น่าพิจารณาว่า ทะเล หรือ มหาสมุทรนั้น เป็นสิ่งที่กว้างขวางใหญ่โตมีน้ำเป็นจำนวนมาก เปรียบเทียบได้กับชีวิตประจำวันเราเกี่ยวข้องกับชื่อและภาพมากมาย เพราะเหตุว่ามีการรับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ

เมื่อรู้อารมณ์ทาง ๕ ทวาร ทวารหนึ่งทวารใด ก็มีการรับรู้ต่อทางใจ ที่เป็นคนนั้นคนนี้ หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นเป็นการรับรู้ทางมโนทวาร หรือแม้ไม่ได้อาศัยทาง ๕ ทวารนั้น ก็มีการคิดนึกได้ คิดถึงชื่อหรือเรื่องราวต่างๆ แม้แต่ศึกษาธรรมก็ยังมีชื่อของธรรมอีกมากมาย

เมื่อได้ฟังได้ศึกษาเรื่องของทะเลชื่อ ทะเลภาพแล้ว ก็เตือนให้ได้เข้าใจถึงความเป็นจริงว่า จริงๆ แล้ว อะไรที่มีจริง สิ่งที่มีจริงๆ นั้นไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เพราะมีสภาพธรรมจึงมีชื่อ มีบัญญัติเรื่องราวต่างๆ เพราะถ้าไม่มีธรรมแล้ว อะไรๆ ก็ไม่มี ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้น ไม่พ้นไปจากปรมัตถธรรม ๔ คือ จิต เจตสิก รูป และพระนิพพานเท่านั้น จิต เจตสิก รูป หลากหลายมาก เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ส่วนพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ

หรือแม้แต่ในการฟังในการศึกษาพระธรรม ก็มีชื่อของธรรมมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ให้ไปติดที่คำหรือที่ชื่อ แต่เพื่อให้เข้าใจให้ถูกต้องในคำนั้นๆ และเพื่อเข้าถึงตัวจริงของธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นการเพลินไปกับการจำชื่อจำคำจำเรื่องราวต่างๆ ในพระไตรปิฎก แต่ไม่ได้น้อมมาเพื่อระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะคำแต่ละคำนั้น ล้วนแสดงเพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง

มากไปด้วยความไม่รู้ ที่สะสมมาอย่างมากและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ และยิ่งจะไม่รู้ต่อไป ถ้าไม่เริ่มฟังพระธรรม, หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความไม่รู้ได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 28 ก.ย. 2559

ขณะที่สติปัฏฐานเกิดมีนามธรรมหรือรูปธรรมปรากฏจะไม่มีเรื่องราวไม่มีชื่อไม่มีอวิชชาเกิดร่วมด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย j.jim  วันที่ 29 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย worrasak  วันที่ 30 ก.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 1 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 6 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย chatchai.k  วันที่ 12 ต.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ