ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และ คณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้รับเชิญจากอาจารย์ธนิต ชื่นสกุล
คุณมาลี คุณจรัญ ฉลวยศรีเมือง และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดราชบุรี
เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ แพรวอาภาเพลส ราชบุรี ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.
การจัดการสนทนาธรรมครั้งนี้เป็นการร่วมใจกัน ของชาวสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ราชบุรี
ซึ่งแต่เดิมได้รับการตั้งชื่อกลุ่ม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ว่า "กุรุน้อย"
เมื่อคราวที่ท่านเดินทางมาราชบุรีเป็นครั้งแรก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๕
การสนทนาธรรมครั้งนี้ ท่านเจ้าภาพ ได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดี
ในห้องที่สวยงามใหญ่โตกว้างขวาง มีการจัดที่นั่งฟังการสนทนา ไว้เป็นจำนวนมาก
ข้าพเจ้าลองนับดูคร่าวๆ ราวสองร้อยที่นั่ง และ เมื่อถึงเวลาสนทนาธรรมจริงๆ
ต้องมีการเสริมเก้าอี้กันอีกหลายรอบ เข้าใจว่ามีผู้ที่เข้าฟังรวมทั้งสิ้นคร่าวๆ ถึงสามร้อยท่าน
แม้ว่าจะมีเวลาการสนทนาสั้นๆ เพียงสองชั่วโมง แต่ก็เป็นประโยชน์ยิ่ง แก่ผู้ที่สนใจ
ดังจะขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอน มาลงไว้เพื่อทุกท่านได้พิจารณา ดังนี้ครับ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ท่านผู้ถาม การจะพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ ที่ถูกต้อง
จะพึ่งอย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ของการฟัง ก็คือ เข้าใจ สิ่งที่กำลังฟัง
นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไร
ทุกคำ เป็นคำที่ควรจะไตร่ตรองว่า
ฟังแล้ว เข้าใจแค่ไหน?
อย่างที่ว่า จะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร?
เราจะพึ่งใคร เราก็ต้องรู้ใช่ไหม? ถ้าเราไม่รู้จักคนนั้น เราจะพึ่งเขาได้อย่างไร?
อยู่ดีๆ จะไปพึ่งคนโน้น คนนี้ ไม่ได้แน่
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่กล่าวว่า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
(พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ)
ก็ต้องหมายความว่า รู้จักธรรมะ รู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักพระธรรม และ รู้จักพระอริยสงฆ์
ที่จะเป็นที่พึ่งจริงๆ
พึ่งคนอื่น พึ่งได้ชั่วคราว เพียงให้หมดความทุกข์ร้อน ชั่วครั้ง ชั่วคราว
แต่ไม่สามารถที่จะให้เกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง
ที่จะไม่ทำให้ทุกข์นั้น เกิดอีก
เพราะฉะนั้น การที่ผู้หนึ่งผู้ใด คิดที่จะพึ่งพระรัตนตรัย เป็นสรณะ
หมายความว่า ผู้นั้นควรได้รู้คุณของพระรัตนตรัย เพื่อที่จะได้พึ่งพระรัตนตรัยได้
ว่าไม่ได้พึ่ง เพื่อเหตุอื่น
แต่พึ่งเพราะเหตุว่า ไม่มีใครเลยในจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล
ที่จะมีคุณ เปรียบปานพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะเหตุว่า
พระองค์ทรงมีพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เหนือบุคคลใด
มิฉะนั้น เราจะไม่มีโอกาสได้ฟังเลย เพราะเหตุว่า เมื่อได้ทรงประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
แล้วก็ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงแสดงธรรม อนุเคราะห์บุคคลอื่น
จนกระทั่งเราสามารถที่จะมีโอกาส ได้ยินได้ฟังข้อความ ซึ่งตรัสด้วยพระโอษฐ์
ในสถานที่ต่างๆ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ในความเป็นพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นที่พึ่ง ที่สูงสุด ที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น ก็ต้องทราบว่า การที่เราจะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่เหมือนเราพึ่ง คนที่เราเคยพึ่งได้เพียงชั่วคราว
แต่ว่า เป็นการพึ่งที่จะทำให้เกิดปัญญา ความเห็นถูกของเราเอง
มิฉะนั้นแล้ว พระพุทธเจ้า ก็จะไม่เป็นผู้ที่บำเพ็ญพระบารมี
ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้า
ก็คงจะเป็นเพียงสาวก ในครั้งที่มีพระพุทธเจ้าในอดีต ที่ได้เคยฟังพระธรรมผ่านมาแล้ว
ถึง ๒๔ พระองค์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้ ต้องรู้จุดประสงค์ว่า เพราะเราไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริง ที่จะรู้ว่า
ทำไมเกิดมา และ เกิดแล้วตายไปไหน?
และเมื่อเกิดมาแล้ว เรามีชีวิตต่างกันมากมาย เพราะอะไร?
มีใครบงการ เป็นเจ้ากรรมนายเวร หรือเป็นผู้ทำให้หรือเปล่า?
นี่เป็นสิ่งซึ่ง เราไม่สามารถที่จะพึ่งคนอื่นได้ นอกจากพึ่งพระปัญญาคุณ
ที่ทรงแสดงพระธรรม ด้วยพระมหากรุณาคุณ ด้วยความบริสุทธิ์
เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น การที่จะพึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้
พึ่งเพื่อเกิดปัญญา ความเห็นถูกต้อง ตามที่พระองค์ทรงแสดง
ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม เรามีความเห็นอย่างหนึ่ง
แต่เวลาที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว เราก็มีความเห็นถูกต้อง ตามที่ได้ทรงแสดง
แต่ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฟังพระธรรม ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะพึ่งพระองค์ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่จะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ฟังพระธรรม
ไม่มีโอกาสเลย ที่จะได้พึ่ง
เพียงแต่กล่าววาจาว่า ขอถึงพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
(พุทธัง สรณัง คัจฉามิ) ไม่ได้หมายความว่า คนนั้น ได้พึ่งแล้ว จริงๆ
เพียงกล่าว
แต่จะพึ่งจริงๆ ก็ต่อเมื่อฟังพระธรรม และ เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง
เมื่อนั้นจึงพึ่งพระผู้มีพระภาคฯ
เพราะว่า ไม่มีใครสามารถที่จะแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย
แม้ก่อนที่จะถึงโลกนี้ ที่มาสู่โลกนี้ และก่อนที่จะจากโลกนี้ไป
หรือ หลังจากที่จากไปแล้ว
น่าสงสัยไหม? ทำไมแต่ละคนมาอยู่โลกนี้ได้?
ตั้งใจมาหรือเปล่า?
มาเอง หรือ มาอย่างไร?
แต่ละคนก็ได้มาอยู่ที่นี่ เราก็รู้ว่า มีโลกหลายโลก ถ้ามองดูดวงดาว ก็มากมายก่ายกอง
แต่ว่า เราอยู่ในโลกนี้
เพราะอะไร?
ทั้งหมด คือ พระธรรมที่ได้ทรงแสดง จากการที่ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ตามความเป็นจริง
พระธรรมที่ทรงแสดงแก่พุทธบริษัท เมื่อเทียบกับพระปัญญาคุณแล้ว เล็กน้อยมาก
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า แม้เพียงเล็กน้อย เราก็ประมาทไม่ได้เลย
แต่ละคำ ลึกซึ้ง และ ควรที่จะเข้าใจจริงๆ
ไม่ใช่เป็นผู้ที่ฟังแล้ว เหมือนเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว
แต่ความจริง ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย
เพราะแม้แต่จะพูดคำว่า "เห็น" มีจริงๆ ใช่ไหม? แล้วก็กำลังเห็นด้วย
แล้วใครรู้จัก "เห็น" บ้าง? ว่า "เห็น" เป็นอย่างไร?
ถามว่า "เห็น" เป็นอย่างไร? ก็ตอบว่า กำลังเห็น
แต่ว่า
"..เรา..เห็น.."
แต่ว่า ความจริงแล้ว "เรา" หรือ "เห็น" เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิด ใครก็บันดาลไม่ได้
แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ไม่ได้ทรงแสดงว่า พระองค์ทรงบันดาลให้ใครเกิดปัญญา หรือ ให้ใครเกิดเห็น
แต่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่สมควร
เพราะเหตุว่า ถ้ามีหู แต่ไม่มีตา จะเห็นไม่ได้
เพียงแค่ "ได้ยิน" แต่ ไม่มี "เห็น"
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น
จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นความเข้าใจ ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงว่า
สิ่งที่มีจริง เกิดขึ้น ปรากฏในขณะนั้น จึงรู้ว่า มีจริงๆ
ถ้าไม่เกิดขึ้น ไม่ปรากฏ จะรู้ได้อย่างไร? ว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ "เห็น" เกิดแล้วปรากฏ ว่ามีจริงๆ
แต่ว่า "ความไม่รู้" ของคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ก็คือ เข้าใจว่า "เราเห็น"
เพราะไม่รู้ความจริงว่า "เห็น" เป็นสิ่งหนึ่ง
"สิ่งหนึ่ง" เท่านั้น ในบรรดา "สิ่งทั้งปวง"
"เห็น" เป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป
ไม่มีใครสามารถที่จะเห็นตลอดเวลาไปได้ หรือว่า
"ได้ยิน" ในขณะนี้ ก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ "ได้ยิน" เกิดขึ้นได้ยิน เฉพาะเสียงที่ปรากฏ
ไม่ใช่เสียง ที่ไม่ปรากฏ ในขณะนั้น
ต้องเป็น "เสียง" ที่กำลังปรากฏ กับ "ได้ยิน" ที่เกิดขึ้น
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า นอกจาก "เห็น" แล้ว ยังมี "ได้ยิน" อีกหนึ่ง
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
เป็นลักษณะของสภาพธรรมะ ที่มีจริงๆ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วไม่เที่ยง
ไม่เที่ยง หมายความว่า เกิดแล้ว ดับไป
เพราะฉะนั้น ธรรมะทั้งหมดที่ทรงแสดง เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ทุกกาลสมัย
เพราะว่า "เห็น" ไม่ใช่เราเลย แล้วเห็น ก็เลือกไม่ได้
ถ้าใครจะตาบอดตอนนี้ ก็ไม่เห็นแล้ว
จะอยากเห็น หรือ ให้เห็นเหมือนเดิม ก็เห็นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย
ที่เหมาะควรกับสิ่งนั้น ที่จะเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น
วันหนึ่ง โกรธบ่อยไหม? หรือไม่โกรธเลย วันนี้ไม่ขุ่นใจเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง ราบรื่นดี
หรือว่า ไม่ได้สังเกตุว่า แม้แต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็จะทำให้เกิดความไม่พอใจเพียงเล็กน้อย
ยังไม่ถึงเวลาที่โกรธจัด ถ้าเวลาที่โกรธจัด ปัจจัยที่ทำให้โกรธมากๆ
จะไม่เหมือนกับปัจจัยที่ทำให้ขุ่นใจเพียงเล็กน้อย
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่าง เป็นแต่ละหนึ่ง จริงๆ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เข้าใจว่าเป็นเราทั้งหมด
แท้ที่จริงคือ "ธรรมะ"
ซึ่งเกิดขึ้นจริงๆ แต่เกิดเองไม่ได้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง
โดยที่ว่า ถ้าไม่ทรงแสดงโดยความละเอียดยิ่ง
เราไม่มีทางที่จะละการยึดถือ สภาพธรรมะที่มีจริง ว่าเป็นเรา
เพราะด้วยความไม่รู้ ก็ยึดถือว่า "เราเกิด" แล้วก็ "เราเห็น"
เราได้ยิน เราสุข เราทุกข์
จนกระทั่งจากโลกนี้ไป ก็ไม่รู้ความจริงเลย
แต่ว่า ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีธรรมะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จะ "มีเรา" ได้อย่างไร?
แต่เพราะเหตุว่า ไม่รู้ความจริง ว่าเป็นธรรมะ
ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ก็เลยยึดถือ ว่าเป็นเรา หรือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เมื่อมีเรา ก็มีเขา
แต่ว่าพระธรรม ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดง ๔๕ พรรษา โดยละเอียดยิ่ง
สำหรับผู้ฟังที่รู้ว่า
ฟังแค่นี้ ยังไม่พอที่จะละการยึดถือสภาพธรรมะ
ที่เพียงเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วหมดไป
ว่า "เป็นเรา"
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังอีก เข้าใจอีก
จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ เพื่อที่จะไม่เป็นทุกข์ เพราะ "มีเรา"
ถ้าไม่มีเรา ก็คงจะไม่เป็นทุกข์
แต่ว่า เพราะยึดถือสภาพธรรมะที่มี ว่าเป็นเรา ก็เลยเดือดร้อน วุ่นวาย เป็นทุกข์มากมาย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะเห็น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ต้องมีปัจจัย
ที่กล่าวถึงก็เฉพาะเห็น ยังไม่หมด
หมายความว่า เพียงเห็น มีตาแน่ แล้วก็ต้องมีสิ่งที่กระทบตา
แล้วก็มีธาตุรู้ คือ "จิตเห็น" เกิดขึ้น
แต่ก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมจึงเห็น
ถ้าไม่มีกรรม ที่ได้กระทำแล้ว ที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้น
"เห็น" ก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะ มีความลึกซึ้ง ตามลำดับยิ่งขึ้น
จนกว่าความเข้าใจจะมั่นคง ละเอียด
จนกระทั่ง สามารถที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมะ
จนกระทั่งประจักษ์ความจริง ของสภาพธรรมะ ที่ทรงแสดง ว่าเป็นความจริงทุกประการ
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง ก็มีระดับขั้น
ตั้งแต่ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ
ปริยัติ คือ ความรอบรู้ ในพระธรรมที่ได้ฟัง
ไม่ใช่ฟัง ได้ยิน จบแล้ว
แต่ว่า ฟังแล้ว เข้าใจแค่ไหน?
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจ คือ ความรอบรู้จริงๆ
เพราะเหตุว่า พระธรรมทั้งหมด สอดคล้องกันทั้งหมด ทุกคำ เพราะว่าเป็นความจริง
แต่ก็ยังไม่ได้ประจักษ์
แม้แต่ได้ยินว่า ขณะนี้ "เห็น" เป็นธรรมะ เกิดขึ้นและดับไป
จริง หรือ ไม่จริง ต้องพิจารณาก่อน
ถ้าจริง เป็นเพียงปริยัติ
ยังไม่ได้รอบรู้ยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น ยังไม่ถึง ปฏิปัตติ ซึ่งหมายความถึง นอกจากการฟังเข้าใจ
ยังสามารถเข้าใจ ธรรมะที่ปรากฏ ตรงตามที่ได้ฟังแล้ว
โดยไม่ใช่ไปคิดยาว ว่าเห็นขณะนี้ เกิดขึ้นและดับไป เพราะเหตุว่า มีปัจจัย
และ มีสิ่งที่ปรากฏ กระทบจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้จิดเห็นเกิดขึ้น
โดยกรรม เป็นปัจจัย ทำให้จิตเห็นนั้นเกิด
อย่างนี้ ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ
เพราะฉะนั้น จากการฟัง ก็จะถึงการที่มีปัจจัยพอสมควร
ที่จะทำให้เข้าใจ "เห็น" ที่กำลังเห็น
แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง จนถึงการแทงตลอด ซึ่งเป็นอีกขั้นหนึ่ง คือ ปฏิเวธ
เพราะฉะนั้น ต้องมีปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ตามลำดับ
ไม่มีการที่จะไปข้ามขั้น ว่าปฏิบัติก่อน แล้วก็จะไปรู้ปริยัติ ไม่ได้เลย
เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมะที่ปรากฏ
ไม่มีปัจจัย ที่จะทำให้ถึงปัญญาอีกขั้นหนึ่ง
ที่สามารจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เช่น "เห็น" ตรงตามที่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้น ธรรมะ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 259
ข้อความบางตอนจากอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
อนึ่ง บริษัท ๔ ในแคว้นกุรุนั้น ต่างประกอบเนืองๆ ในการเจริญสติปัฏฐานอยู่โดยปกติ โดยที่สุด คนรับใช้ และคนงานทั้งหลาย ก็พูดกันแต่เรื่อง ที่เกี่ยวด้วย สติปัฏฐานกันทั้งนั้น แม้แต่ในที่ท่าน้ำ ที่กรอด้ายเป็นต้น ก็ไม่มีการพูดกันถึงเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย. ถ้าสตรีบางท่านถูกถามว่า คุณแม่จ๊ะ คุณแม่ใส่ใจสติปัฎฐานข้อไหน นางจะไม่ตอบว่าอะไร ชาวกุรุจะติเตียนเขาว่าน่าตำหนิชีวิตของเจ้าจริงๆ เจ้าถึงเป็นอยู่ ก็เหมือนตายแล้ว ต่อนั้นก็จะสอนเขาว่าอย่าทำอย่างนี้อีกต่อไปนะ แล้วให้เขาเรียนสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง. แต่สตรีผู้ใดพูดว่า ดิฉันใส่ใจสติปัฏฐานข้อโน้นเจ้าค่ะ ชาวกุรุก็จะกล่าวรับรองว่า สาธุสาธุ แก่นาง สรรเสริญด้วยถ้อยคำต่างๆ เป็นต้นว่า ชีวิตของเจ้าเป็นชีวิตดีสมกับ ที่เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติมาเพื่อประโยชน์แก่
เจ้าแท้ๆ .
ฯลฯ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของอาจารย์ธนิต ชื่นสกุล
คุณมาลี คุณจรัญ ฉลวยศรีเมือง และสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.จังหวัดราชบุรี ทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของผู้จัดสนทนาธรรมในครั้งนี้
ขอบพระคุณและขอออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาและขอบคุณคุณวันชัย ภู่งาม ที่จัดทำณ กาลครั้งหนึ่งหลายๆ ครั้งมาให้
เพื่อนสมาชิกได้อ่านพร้อมคลิปได้ชมด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพสูงสุด
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ วันชัย ภู่งาม และทุกท่านด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกยินดีที่ได้เห็น ทุกยินดีที่ได้ยิน ทุกยินดีที่ได้คิด ทุกยินดีที่ได้จำ ทุกๆ ยินดี
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาอย่างยิ่ง กับ คุณวันชัย ภู่งาม (วันชัย๒๕๐๔)
ผู้นำมาซึ่งความยินดีทุกประการ แล้วๆ เล่าๆ เป็นความดีจริงๆ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาอย่างยิ่ง ในกุศลจิต และ คุณความดี
ของ ทุกๆ ท่าน อันปรากฏแล้ว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ