พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 246
กสิภารทวาชสูตรที่ ๔
ว่าด้วยศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน ปัญญาเป็นแอกและไถ
[๒๙๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พราหมณคามชื่อ เอกนาฬา ในทักขิณาคิรีชนบท แคว้นมคธ ก็สมัยนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ ประกอบไถประมาณ ๕๐๐ ในเวลาเป็นที่หว่านพืช ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังที่การงาน ของกสิภารทวาชพราหมณ์ ก็สมัยนั้นแล การเลี้ยงดูของกสิภารทวาชพราหมณ์ กำลังเป็นไป ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปถึงที่เลี้ยงดู ครั้นแล้ว ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กสิภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระ- ผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่เพื่อบิณฑบาต ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระ- ภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์แล ย่อมไถและหว่าน ครั้นไถและ หว่านแล้วย่อมบริโภค แม้พระองค์ก็จงไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว จงบริโภคเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราก็ไถและ หว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค. กสิ. ข้าแต่พระสมณะ ก็ข้าพระองค์ย่อมไม่เห็นแอก ไถ ผาล ปฏักหรือโค ของท่านพระโคดมเลย ก็แลเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพระโคดมตรัส อย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถแลหว่านแล้วย่อม บริโภค.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 247
ลำดับนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย คาถาว่า [๒๙๘] พระองค์ย่อมปฏิญาณว่าเป็น ชาวนา แต่ข้าพระองค์ไม่เห็นไถของพระ องค์ พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอ ได้โปรดตรัสบอกไถแก่ข้าพระองค์ โดยวิธี ข้าพระองค์จะพึงรู้จักไถของพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยคาถาว่า ศรัทธาของเราเป็นพืช ความเพียร ของเราเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริของเราเป็นงอนไถ ใจของเราเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและปฏัก เราคุ้มครอง กาย คุ้มครองวาจา สำรวมในอาหารในท้อง ย่อมกระทำการถอนหญ้า คือ การกล่าวให้ พลาดด้วยสัจจะความสงบเสงี่ยมของเราเป็น เครื่องปลดเปลื้องกิเลส ความเพียรของเรา นำธุระไปเพื่อธุระนำไปถึงแดนเกษมจาก โยคะ ไม่หวนกลับมา ย่อมถึงสถานที่ๆ บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก การไถนานั้น เราไถแล้วอย่างนี้ การไถนานั้น ย่อมมีผล เป็นอมตะ บุคคลไถนานั่นแล้ว ย่อมพ้นจาก ทุกข์ทั้งปวง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 248
[๒๙๙] ลำดับนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์เทข้าวปายาสลงในถาด สำริดใหญ่ แล้วน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกราบทูลว่า ขอท่านพระ- โคดมเสวยข้าวปายาสเถิด เพราะพระองค์ท่านเป็นชาวนา ย่อมไถนา อันมีผล ไม่ตาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราไม่ควรบริโภค โภชนะที่ขับกล่อมได้มา ข้อนี้ไม่ใช่ธรรม ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เห็นอยู่โดยชอบ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงห้ามโภชนะ ที่ขับกล่อมได้มา ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อธรรม มีอยู่ การแสวงหานี้เป็นความประพฤติของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เชิญท่านบำรุงพระ- ขีณาสพ ผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง ผู้แสวงหา คุณอันใหญ่ ผู้มีความคะนองอันสงบแล้ว ด้วยข้าวและน้ำอย่างอื่นเถิด เพราะว่าเขต นั้นเป็นเขตของบุคคลผู้มุ่งบุญ. [๓๐๐] กสิ. ข้าแต่พระโคดม ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพระองค์จะถวาย ข้าวปายาสนี้แก่ใคร. พ. ดูก่อนพราหมณ์ เราย่อมไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 249
ผู้บริโภคข้าวปายาสนั้นแล้ว จะพึงให้ย่อยได้โดยชอบ นอกจากตถาคตหรือ สาวกของตถาคตเลย ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงทิ้งข้าวปายาสนั้น เสียในที่ปราศจากของเขียวหรือจมลงในน้ำซึ่งไม่มีตัวสัตว์เถิด. ลำดับนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์เทข้าวปายาสนั้นให้จมลงในน้ำอัน ไม่มีตัวสัตว์ พอข้าวปายาสนั้นอันกสิภารทวาชพราหมณ์เทลงในน้ำ (ก็มีเสียง) ดังจิจจิฏะ จิฏิจิฏะ เป็นควันกลุ้มโดยรอบ เหมือนก้อนเหล็กที่บุคคลเผาให้ร้อน ตลอดวัน ทิ้งลงในน้ำ (มีเสียง) ดังจิจจิฏะ จิฏิจิฏะ เป็นควันกลุ้มโดยรอบ ฉะนั้น. [๓๐๑] ลำดับนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์สลดใจ มีขนชูชัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มี- พระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบ เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดช่องที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีป ไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึง พระโคดมผู้เจริญกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระโคดม- ผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่ วันนี้เป็นต้นไป ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระโคดม ผู้เจริญเถิด กสิภารทวาชพราหมณ์ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มี- พระภาคเจ้าแล้ว ก็ท่านภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 250
ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ช้านักก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุด แห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ก็ท่านภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ ทั้งหลาย.
จบกสิภารทวาชสูตรที่ ๔
อรรถกถากสิภารทวาชสูตร
กสิภารทวาชสูตรเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้ :-
มีอุบัติอย่างไร? พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พราหมณคามชื่อ เอกนาลา ในทักขิณาคิรีชนบท แคว้นมคธ ทรงยังปุเรภัตกิจเสร็จแล้วใน บรรดาพุทธกิจ ๒ อย่างนี้คือ ปุเรภัตกิจ ๑ ปัจฉาภัตกิจ ๑ ในเวลาเสร็จ ปัจฉาภัตกิจ ทรงตรวจดูโลก ด้วยพระพุทธจักษุ ทรงเห็นพราหมณ์ชื่อ กสิภารทวาชะ ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ทรงทราบว่า ครั้นเรา ไปในพราหมณคามนั้นแล้ว กถาจักเป็นไป แต่นั้น ในเวลาจบกถา พราหมณ์ นั่นฟังธรรมเทศนา บวชแล้ว จักบรรลุพระอรหัต ดังนี้ จึงเสด็จไปใน พราหมณคามนั้น ทรงยังกถาให้ตั้งขึ้นแล้ว ตรัสพระสูตรนี้.
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)