กราบสวัสดีท่านวิทยาธรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน
มีความสงสัยว่า พระอริยบุคคลที่ท่านบรรลุธรรมโดยมิได้ฌานจิต หรือได้อภิญญาต่างๆ (แม้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์) ท่านไม่สามารถเห็น สวรรค์ นรก หรือภูมิอื่นๆ ที่เป็นของละเอียดได้ ท่านยังจะมีความสงสัยอยู่ไหมว่า ภพภูมิอื่นมีจริง เพราะเหตุใด
แล้วถ้าไม่มีความสงสัย เพราะอาศัยภาวนามยปัญญาอย่างไรจึงทราบว่ามี (ด้วยปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ว่าเชื่อตามการพิจารณาตาม หรือด้วยปัญญาขั้นจินตามยปัญญา พิจารณาตามเหตุตามปัจจัย ที่ยังคลอนแคลนแบบปุถุชน) แต่ถึงทราบ ท่านก็ไม่ทราบใช่ไหมว่า นรกมีทุกข์อย่างไร สวรรค์มีสุขอย่างไร เทวดากินอะไรเป็นอาหาร หรือวิมานหน้าตาอย่างไร แม้จะมีพรรณาไว้ในพระไตรปิฎก ท่านก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อแบบหัวปักหัวปำว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ จริงแน่ๆ ตามที่แสดงไว้ แต่ก็เชื่อแบบเผื่อใจไว้ คือไม่ค้าน และก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจ เพราะไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น พอตายไป เข้าถึงสวรรค์ จึงจะทราบรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้
แล้วในเมื่อท่านไม่ทราบรายละเอียดปลีกย่อยอย่างนี้ ท่านจะยังมีความเชื่อได้ไหม เชื่อแบบไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่เพราะไม่ทราบด้วยการเห็นจริงๆ จึงยังอาจจะเชื่อว่าการเซ่นสรวงบูชาเทวดา เจ้าที่เจ้าทางด้วยอาหารของมนุษย์ เทวดาเหล่านั้นก็อาจจะสามารถกินได้ ยังจะมีความเห็นแบบนี้ได้หรือเปล่า
ถ้ามีได้ ก็แปลว่า อย่างนี้ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิในระดับที่อันตรายใช่ไหม พระโสดาบันจึงยังเชื่อได้ แม้จะไม่สนิทใจ
เพราะตามที่เข้าใจ คิดว่าท่านน่าจะยังเชื่อได้ เพราะไม่ใช่ลักษณะของทิฏฐิเจตสิก เข้าใจว่าทิฏฐิเจตสิกคือความเห็นผิดแบบ สัสสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิ ๒ อย่างนี้ หรืออีกนัย คือ อกิริยทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ และ นัตถิกทิฏฐิ ๓ อย่างนี้ เท่านั้น
ถูกผิดประการใด ขอความกรุณาชี้แจงด้วยครับ
มีบางท่าน ที่ท่านก็ศึกษาและชำนาญพระไตรปิฎก แต่ก็กล่าวไว้ว่า นรก-สวรรค์ ในพุทธศาสนานั้น เป็นของที่ศาสนาพราหมณ์ใส่เข้ามา แม้ในพระไตรปิฎก ก็ถูกปนเข้ามาจากพราหมณ์ และเป็นความเชื่อของพราหมณ์ ไม่ใช่ของพุทธ ชาติก่อน-ชาติหน้า ก็ของพราหมณ์ ชาดกก็เรื่องแต่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องจริงบ้าง ยมกปาฏิหาริย์ ก็ไม่ได้มีจริง และให้คำอธิบายว่า ที่พระพุทธองค์ไม่ทรงปฏิเสธ เพราะเห็นว่า ไปค้านความเห็นก็ลำบาก เลยไม่ทรงปฏิเสธ แต่ทรงแสดงอริยสัจจธรรม โดยอาศัยนรก-สวรรค์เป็นอุบายเท่านั้น แล้วก็โยงพระพุทธศาสนา ให้เป็นศาสนาที่เน้นปัจจุบันขณะ ให้อยู่เป็นสุขในเฉพาะชาตินี้ โดยอาศัยเรื่องที่ทรงให้เจริญสติปัฏฐาน ระลึกปัจจุบันขณะของ รูป จิต เจตสิก และก็อธิบายนิพพานไว้ว่า เป็นภาวะสงบจากกิเลส หรือขณะใดที่ไม่ใช่กิเลส ขณะนั้นก็เป็นนิพพานบ้างหรือ อธิบายนรก-สวรรค์เป็น สวรรค์ในอก นรกในใจ
อย่างนี้ ควรจะเข้าใจโดยปัญญาอย่างไรดี โดยผู้ที่มีความเข้าใจอย่างนี้ ก็เห็นว่าโดยมากมักจะเป็นผู้ที่กล่าวโดยเอาพระพุทธศาสนา โยงเข้ากับวิทยาศาสตร์ แล้วไม่ทราบว่า ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ยังมีความเป็นไปได้ไหมว่า จะเป็นพระอริยบุคคล
สุดท้ายนี้อยากจะเข้าใจในเรื่องของ อริยุปวาทะ โดยองค์ของการล่วง ว่าจะล่วงได้อย่างไร ด้วยการกระทำเช่นไรบ้าง โดยละเอียด ไม่ทราบว่า มีกล่าวไว้ละเอียดอย่างนั้นหรือเปล่าครับ เพราะเท่าที่อ่านจากกระทู้ก่อนๆ เคยคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่จริงๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจโดยละเอียด เพราะผมกลัวเหลือเกิน เจอพระสงฆ์องค์เจ้า ก็มัวแต่กลัวเรื่องนี้ ไม่แม้แต่อยากจะสบตาท่าน เพราะกลัวจิตไปคิดเรื่องรูปร่างหน้าตาอากัปกิริยาของท่าน แล้วก็ตำหนิท่าน อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง หรือแม้แต่การอ่านหนังสือธรรมะ พบเจอธรรมที่ไม่ตรง เจอผู้ที่กล่าวธรรมโดยโอนเอียงไปทางอุจเฉททิฏฐิบ้าง สัสตทิฏฐิบ้าง แต่ไม่กล้าแม้จะคิดขัด เพราะกลัวว่าท่านผู้เขียนจะเป็นพระอริยเจ้า แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่านั่นไม่ตรง ไม่ใช่ แต่เพราะวิจิกิจฉายังไม่ได้ดับ ก็ไม่วายบางครั้งก็มีโอนเอียง พอโอนเอียงก็กลัวว่าผู้กล่าวอาจจะเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ บางครั้งก็คิดว่า ท่านอาจจะสอนคนในระดับปัญญาต่างกัน จึงต้องมีคำสอนแบบนั้นแบบนี้ ทั้งนี้เพราะบางท่าน ก็เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าที่มีผู้นับถือ เยอะเหลือเกิน เยอะจนไม่กล้าจะเอาปัญญาของเราไปเทียบ ก็เลยไม่กล้าจะกล่าวว่าคำสอนนั้นไม่ตรงตามพระไตรปิฎกกับผู้ที่มีความศรัทธา และเข้าใจอย่างนั้น กลัวไปหมดว่า คนนั้นคนนี้ จะเป็นพระโสดาบัน เราจะไปล่วงเกินอะไรเขาบ้างหรือเปล่า
ส่วนตัวคิดว่า คงจะยังเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน จนกว่าวิจิกิจฉาจะดับ แต่ควรจะวางจิต และวางตัวอย่างไรดี ถึงจะไม่ไปล่วงอริยุปวาทะเอาได้ และเข้าใจพระธรรมโดยปัญญาจริงๆ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากคำถามที่ว่า
[มีความสงสัยว่า พระอริยบุคคลที่ท่านบรรลุธรรมโดยมิได้ฌานจิต หรือ ได้อภิญญาต่างๆ (แม้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์) ท่านไม่สามารถเห็น สวรรค์ นรก หรือภูมิอื่นๆ ที่เป็นของละเอียดได้ ท่านยังจะมีความสงสัยอยู่ไหมว่าภพภูมิอื่นมีจริง เพราะเหตุใด]
- พระอริยบุคคล แม้ไม่ได้ฌาน แม้ไม่เห็นนรก สวรรค์ด้วยตา แต่เพราะท่านบรรลุเป็นพระอริยเจ้า ด้วยปัญญา ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งหากพิจารณาถึงปัญญา ที่พระอริยบุคคล ประจักษ์ตามลำดับขั้น ก็จะเห็นว่า ปัญญาที่พระอริยบุคคลได้ผ่านไปตามลำดับนั้น ประจักษ์ทั้งที่ตัวสภาพธรรม ประจักษ์ความเป็น เหตุ ปัจจัยของสภาพธรรม ที่สำคัญ ต้องผ่านปัญญาที่เป็น กัมมัสสกตาปัญญา คือ ปัญญาที่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างละเอียดลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น พระอริยบุคคล จึงมีความเชื่อด้วยปัญญา ที่รู้ว่า กรรมมี ผลของกรรมมี และ รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อกรรมมี ผลของกรรมี ก็ต้องมีภพภูมิที่ควรได้รับผลของกรรม ตามกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม เพราะฉะนั้น แม้ไม่ประจักษ์ด้วยตาเปล่าใน นรก สวรรค์ ของพระอริยบุคคล ท่านก็เชื่อด้วยปัญญาที่ประจักษ์ในกัมมัสสกตาปัญญา ปัญญาที่เชื่อ กรรมและผลของกรรม จึงเชื่อในเรื่องภพภูมิ โดยไม่มีความสงสัยแม้แต่นิดเดียว เพราะ ประจักษ์ด้วยปัญญา และ ละความสงสัยได้หมดสิ้นแล้ว โดยเฉพาะ เรื่อง กรรมและผลของกรรม และเรื่องภพภูมิ ครับ
เพราะ ภพภูมิจะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีกรรมและผลของกรรม ครับ
[แล้วถ้า ไม่มีความสงสัย เพราะอาศัยภาวนามยปัญญาอย่างไร จึงทราบว่ามี (ด้วยปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ว่าเชื่อตามการพิจารณาตาม หรือด้วยปัญญา ขั้นจินตามยปัญญา พิจารณาตามเหตุตามปัจจัยที่ยังคลอนแคลนแบบปุถุชน) แต่ถึงทราบ ท่านก็ไม่ทราบใช่ไหมว่า นรกมีทุกข์อย่างไร สวรรค์มีสุขอย่างไร เทวดากินอะไรเป็นอาหาร หรือวิมานหน้าตาอย่างไร แม้จะมีพรรณนาไว้ในพระไตรปิฎก ท่านก็ไม่ใช่ว่า จะเชื่อแบบหัวปักหัวปำ ว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ จริงแน่ๆ ตามที่แสดงไว้ แต่ก็เชื่อแบบเผื่อใจไว้ คือไม่ค้าน และก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจ เพราะไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น พอตายไป เข้าถึงสวรรค์จึงจะทราบรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้]
- พระอริยสาวก แม้ไม่เห็นสวรรค์ นรก แต่ท่านก็เชื่อตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ตามพระไตรปิฎก เพราะ ท่านรู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ก็ย่อมเชื่อในคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมด ไม่มีคัดค้านสักข้อเดียว เพราะเข้าใจ ตามความเป็นจริงว่า พระธรรมทุกคำ ไม่มีแม้สักคำเดียวที่พระองค์ทรงแสดง จะไม่เป็นจริง ครับ
ดังนั้น ท่านก็รู้ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ทรงพรรณนาถึง รูปร่าง ภพภูมิของสวรรค์ ว่าเป็นอย่างไร แต่จะให้รู้มากกว่านี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะ ไม่ได้เห็นเอง แต่ท่านก็เชื่อตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
จากคำถามที่ว่า
(แล้วในเมื่อท่านไม่ทราบรายละเอียดปลีกย่อยอย่างนี้ ท่านจะยังมีความเชื่อได้ไหม เชื่อแบบไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่เพราะไม่ทราบด้วยการเห็นจริงๆ จึงยังอาจจะเชื่อว่า การเซ่นสรวง บูชาเทวดา เจ้าที่ เจ้าทาง ด้วยอาหารของมนุษย์ เทวดาเหล่านั้น ก็อาจจะสามารถกินได้ ยังจะมีความเห็นแบบนี้ได้หรือเปล่า
ถ้ามีได้ ก็แปลว่าอย่างนี้ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิในระดับที่อันตรายใช่ไหม พระโสดาบันจึงยังเชื่อได้ แม้จะไม่สนิทใจ)
- แม้พระอริยบุคคล จะไม่ทราบโดยละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด แต่ท่านจะไม่กระทำสิ่งที่ไม่เป็นเหตุ เป็นผล เพราะ ดับ สีลพตปรามาส คือ ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ด้วยความเห็นผิดแล้ว และท่านรู้ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การบูชาเทวดา ด้วยการทำคุณความดี และ อุทิศส่วนกุศลให้ เพราะท่านประจักษ์ในความเป็นเหตุ และเป็นผลของสภาพธรรม ครับ
พระโสดาบัน ดับความเห็นผิดแล้ว และ เชื่ออย่างสนิทใจด้วยปัญญา ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
(เพราะตามที่เข้าใจ คิดว่าท่านน่าจะยังเชื่อได้ เพราะไม่ใช่ลักษณะของทิฏฐิเจตสิก เข้าใจว่า ทิฏฐิเจตสิก คือ ความเห็นผิดแบบ สัสสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิ ๒ อย่างนี้
หรืออีกนัยคือ อกิริยทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ และ นัตถิกทิฏฐิ ๓ อย่างนี้ เท่านั้น ถูกผิดประการใดขอความกรุณาชี้แจงด้วยครับ)
- ท่านเชื่อ ด้วยปัญญาของท่านเอง ที่ประจักษ์สภาพธรรม ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดง ซึ่งไม่ใช่ด้วยความเชื่อที่เป็นความเห็นผิด ครับ
(มีบางท่านที่ท่านก็ศึกษาและชำนาญพระไตรปิฎก แต่ก็กล่าวไว้ว่า นรก-สวรรค์ ในพุทธศาสนานั้น เป็นของที่ศาสนาพราหมณ์ใส่เข้ามา แม้ในพระไตรปิฎก ก็ถูกปนเข้ามาจากพราหมณ์ และเป็นความเชื่อของพราหมณ์ ไม่ใช่ของพุทธ ชาติก่อน-ชาติหน้า ก็ของพราหมณ์ ชาดก ก็เรื่องแต่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องจริงบ้าง ยมกปาฏิหาริย์ ก็ไม่ได้มีจริง
และให้คำอธิบายว่า ที่พระพุทธองค์ไม่ทรงปฏิเสธ เพราะเห็นว่า ไปค้านความเห็นก็ลำบาก เลยไม่ทรงปฏิเสธ แต่ทรงแสดงอริยสัจจธรรม โดยอาศัย นรก-สวรรค์ เป็นอุบายเท่านั้น แล้วก็โยงพระพุทธศาสนา ให้เป็นศาสนาที่เน้นปัจจุบันขณะ ให้อยู่เป็นสุขในเฉพาะชาตินี้ โดยอาศัย เรื่องที่ทรงให้เจริญสติปัฏฐาน ระลึกปัจจุบันขณะ ของ รูป จิต เจตสิก และก็อธิบายนิพพานไว้ว่า เป็นภาวะสงบจากกิเลส หรือขณะใด ที่ไม่ใช่กิเลส ขณะนั้นก็เป็นนิพพานบ้าง หรืออธิบาย นรก-สวรรค์ เป็น สวรรค์ในอก นรกในใจ อย่างนี้ควรจะเข้าใจโดยปัญญาอย่างไรดี โดยผู้ที่มีความเข้าใจอย่างนี้ ก็เห็นว่า โดยมาก มักจะเป็นผู้ที่กล่าวโดยเอาพระพุทธศาสนาโยงเข้ากับวิทยาศาสตร์ แล้วไม่ทราบว่า ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ยังมีความเป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นพระอริยบุคคล)
- เมื่อเป็นธรรมคิดเอง ไม่ตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมเป็นผู้มีความเห็นผิด ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นพระอริยบุคคล ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
นรก สวรรค์ ภพภูมิอื่น ที่มองไม่เห็น จะอธิบายกับผู้อื่นได้ไงว่ามันมีอยู่จริงๆ
ประเด็นที่ถามเรื่อง อริยุปวาท
- การกล่าวว่าร้ายพระอริยเจ้า คือ บุคคลนั้น จะต้องเป็นพระอริยเจ้า และไม่ใช่เพียงคิดในใจ แต่มีเจตนาพูดออกมาว่าร้ายท่าน ด้วยคุณธรรมของท่านเป็นสำคัญ ว่าท่านไม่ได้มีคุณธรรมอย่างนี้ เป็นต้น แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการวิจารณ์ข้อธรรม ครับ ซึ่ง หากเรามีเจตนา เพื่อกล่าวให้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง นี่แสดงถึงไม่มีเจตนาว่าร้าย ก็ไม่เป็น อริยุปวาท แต่อย่างใดเลย เพราะไม่ได้มีเจตนาพูดว่าร้ายคนอื่น ครับ
สำคัญคือ ปัญญาของตนเอง ต้องมั่นคงในสัจจะ ความจริง หนทางที่ถูกต้อง ก็ต้องเป็นหนทางที่ถูกต้อง หนทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ความถูกต้อง สัจจะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ คนที่นับถือมาก แต่อยู่ที่ ตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหรือไม่ ซึ่งก็สามารถตรวจได้จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง โดยอาศัย การศึกษาพระธรรมของตนเอง ที่เป็นปัญญาของตนเป็นสำคัญ ซึ่งจะวางจิตอย่างไรนั้น ก็ไม่สามารถบังคับจิตได้ เพียงแต่ว่า เมื่ออาศัย การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมากขึ้น ปัญญาที่เจริญขึ้น ย่อมเห็นตามความเป็นจริงว่า ธรรมที่อยู่คู่ไปกับโลก มี ๒ อย่าง คือ ความเห็นถูก และ ความเห็นผิด
เพราะฉะนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้น ไม่มีใคร ที่เห็นถูกและเห็นผิด จึงควรเห็นใจ ในความเห็นผิดที่เกิดขึ้น และ ทำให้น้อมเข้ามาในตนเองว่า ไม่ควรเป็นผู้ประมาทในการศึกษาพระธรรมและอบรมปัญญามากขึ้น นี่คือประโยชน์จากการพิจารณาเห็นความเห็นผิดของผู้อื่นเป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอกราบอนุโมทนาและขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ อ.ผเดิม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เป็นเหตุ ทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา จากที่เป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ มากมาย ก็สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น เป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นผู้ที่ประเสริฐ ห่างไกลจากกิเลสที่ดับได้แล้ว
พระอริยบุคคล ทุกระดับขั้น เป็นผู้ที่ประกอบด้วยปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง จนสามารถดับกิเลสได้ เมื่อมีปัญญาเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง การที่จะไปทำอะไรที่ผิดๆ เหมือนอย่างปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสกระทำ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และ เพราะมีปัญญาเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะอุปการะเกื้อกูลแสดงความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้แก่ผู้อื่นได้เข้าใจตามด้วย
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจึงเป็นไปเพื่อควาเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา พิจารณาไตร่ตรอง แล้วน้อมที่จะประพฤติตามพระธรรม ขัดเกลากิเลสของตนเอง ย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งเมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีคำสอนแม้แต่บทเดียวที่จะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้คนเกิดอกุศลเลย แม้เพียงเล็กน้อย
พระธรรม จึงเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสอย่างแท้จริง เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเป็นเครื่องนำทางชีวิตแล้ว ก็จะทำให้ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นไปในทางที่ดี ที่ถูก ที่ควร ยิ่งขึ้น ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ครับ.
...ขอบพระคุณ อ. ผเดิม และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ภพภูมิจะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีกรรมและผลของกรรม"
" เรื่องภพภูมิต่างๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง
ซึ่งสามารถศึกษา สอบทานเทียบเคียงได้จากพระไตรปิฎก และอรรถกถา"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนา อ.คำปั่น และคุณเซจาน้อยครับ
สาธุ สาธุ สาธุ