ในอังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต อาภาวรรคที่ ๕ มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กาล ๔ นี้ อันบุคคลบำเพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยลำดับ กาล ๔ เป็นไฉน คือ การฟังธรรมตามกาล ๑ การสนทนาธรรมตามกาล ๑ การสงบตามกาล ๑ การพิจารณาตามกาล ๑
กาล ๔ นี้แล อันบุคคลบำเพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยลำดับ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกบนภูเขา น้ำไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธาร และห้วยให้เต็ม ซอกเขา ลำธาร และห้วยเต็มแล้ว ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองเต็มแล้วย่อมยังบึงให้เต็ม บึงเต็มแล้วย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อยเต็มแล้วย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่เต็มแล้วย่อมยังสมุทรสาครให้เต็ม แม้ฉันใด กาล ๔ นี้ อันบุคคลบำเพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยลำดับ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ถ้าไม่เคยเจริญสติเลยสักขณะเดียว สติจะมีมากได้ไหม ก็ไม่ได้
ถ้าไม่มีการฟังธรรมเลย ไม่มีการพิจารณาเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานให้เข้าใจถูกต้องเลย สัมมาสติจะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏทุกๆ ขณะแล้วปัญญาจะรู้ชัดได้ไหม ก็ไม่ได้
แต่ถ้ามีการเจริญสติทีละเล็กทีละน้อยแล้ว ก็ย่อมสามารถที่จะทำให้ปัญญารู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้
บางท่านอาจจะบอกว่า กำลังเห็นเมื่อไรจะรู้ชัดสักทีว่า สภาพที่เห็นก็เป็นแต่เพียงนามชนิดหนึ่ง ละคลายไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ
กำลังเห็น ถ้าไม่เจริญเหตุให้ถูกต้องแล้ว การรู้ชัด การละ การคลาย การยึดถือในขณะที่กำลังเห็นว่าเป็นตัวตนก็หมดไปไม่ได้ แต่ที่จะหมดได้ก็ต้องเจริญสติ ระลึก รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏบ่อยๆ เนืองๆ ทีละเล็กทีละน้อย แล้ววันหนึ่งความรู้ต้องชัดขึ้น นี่เป็นของที่แน่นอนที่สุด แต่อย่าคิดที่จะบรรลุอริยสัจโดยไม่เจริญสติหรือว่าโดยไม่รู้ลักษณะของนามและรูป
บางท่านไม่คิดว่าจะต้องรู้ลักษณะของนามและรูป แต่คิดว่าจะไปรู้ทุกข์บ้าง คิดว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจะได้โดยไม่รู้ลักษณะของนามและรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 52