ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจแยกแยะ นามและรูปได้
โดย natthaset  19 ส.ค. 2550
หัวข้อหมายเลข 4589

ไม่ขออะไรมากในชาตินี้ ธรรมอื่นอาจจะลึกซึ้งไป เช่น จิต เจตสิก นิพพาน ฯลฯ ปัญญาอันเล็กน้อยของกระผม ขอแค่เข้าใจตามความเป็นจริงของสภาพธรรมคือ นามและรูป ส่วนจะละ คือ คลายกำหนัด คิดว่าน่าจะเกินสติปัญญาที่มี ขอวิธีการ เคล็ดลับ (ถ้ามี) จะเป็นพระคุณยิ่งครับ (ปัจจุบันพิจารณา ทวัตตึงสอาการอาการ ๓๒ ทุกวัน เพื่อเข้าใจรูปในตัว ไม่ทราบถูกวิธีถูกทางหรือเปล่าครับ แต่หลายครั้งเห็นรูปตัว เกิดอาการกลัว สังสัยในร่างตัวเองหลายครั้งครับ!)



ความคิดเห็น 1    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 19 ส.ค. 2550

ก่อนจะแยกแยะนาม รูปก็ต้องมีความรู้เบื้องต้นก่อนว่า อะไรคือนาม อะไรคือรูปใช่มั้ยคะ และจะรู้ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรมเป็นพื้นฐาน ทางลัดก็ไม่มี มีแต่ทางตรงและมีอยู่ทางเดียวคือ การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการศึกษาพร้อมสติ โดยการพิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนั้นเดี๋ยวนั้นทันที เมื่อพิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ความเข้าใจในสภาพธรรมนั้นๆ ย่อมชัดขึ้นเรื่อยๆ ความเห็นผิดที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ วัตถุก็ค่อยๆ จางลง สะสมอบรมต่ไป นานเท่าไหร่ไม่รู้ จนวันนึง เมื่อปัญญาคมกล้า ปัญญานั่นเองที่ทำหน้าที่ละความเห็นผิด เมื่อนั้นนามรูปย่อมปรากฎตามความเป็นจริง แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง

เป็นการเข้าสู่วิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑

เป็นจิรกาลภาวนา


ความคิดเห็น 2    โดย wirat.k  วันที่ 20 ส.ค. 2550

เคล็ดลับคือ ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อเป็นปัจจัยให้ปัญญาในแต่ละขั้นเจริญขึ้นตามลำดับ เข้าใจแค่ไหนก็เข้าใจแค่นั้น ไม่เข้าใจก็ยอมรับตามความเป็นจริงว่ายังไม่เข้าใจ ทางลัดเท่าที่ได้ศึกษาทราบว่าไม่มี แต่ทราบว่ามีทางสายเอกที่ตรงและเป็นทางสายเดียวที่พระพุทธองค์แสดงไว้คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ คือสติปัฏฐาน ตามความเห็นที่ ๑ ท่านได้มาถูกทางแล้ว บุญเก่าท่านทำไว้ดีแล้ว จึงมาพบที่ๆ เอื้อให้ศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาที่มีหลักฐาณ มีที่มา มีเหตุผล ไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่ให้ข้อมูลให้ท่านพิจารณาไตร่ตรอง ตามความเข้าใจของแต่ละบุคคล และคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าง่าย ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าที่ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นเวลานานมากๆ เพื่อตรัสรู้ความจริง แล้วทรงแจกแจงความจริงตามที่ทรงตรัสรู้ (รู้แจ้งจริงๆ ไม่ใช่จากคิดนึก อนุมาน คาดเดา) เป็นความจริงสี่ประการ (ปรมัตถธรรมสี่) คือ จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน ซึ่งก็คือ รูปและนามเพื่อให้ผู้อื่นได้รู้ตามพระองค์ และถ้าได้ตามที่ขอ ไม่ใช่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ป่านนี้ท่านก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาขออะไร เพราะถ้าขอได้พระพุทธองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาคุณต่อมวลสรรพสัตว์ก็คงจะทรงขอให้สัตว์ทั้งหลาย ... ไม่เว้นท่านและผม ให้สิ้นกิเลสกันทั้งหมดเป็นพระอรหันต์กันถ้วนหน้า ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดกันถึงทุกวันนี้ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่ โปรดไตร่ตรองดูเองเถิด เหตุย่อมสมควรแก่ผลครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่าน และขอเป็นกำลังใจให้ศึกษา เพื่อจะได้เป็นเหตุให้ได้นำมาพิจารณา ไตร่ตรอง อบรม ต่อๆ ไป อันจะเป็นปัจจัยให้ปัญญา คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นระยะเวลาที่ไม่สั้นไม่เร็ว แต่เป็น จิรกาลภาวนาคือ อบรมเป็นเวลานานมากๆ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมที่ปัญญาจะรู้แจ้งแทงตลอด แม้จะขอไม่ให้รู้แจ้งก็ต้องรู้แจ้ง เพราะเหตุย่อมสมควรแก่ผล ฉะนั้นจะกล่าวไปทำไมถึงการขอหรือไม่ขอ


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 20 ส.ค. 2550

ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นธรรมเครื่องกั้น ยิ่งอยากรู้เร็ว ยิ่งเป็นเครื่องกั้นค่ะ การอบรมปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับ ต้องใช้เวลานานค่ะ ปัญญาขั้นแรกต้องมาจากการฟังให้เข้าใจก่อน ว่าอะไรเป็นธรรมะ เช่น ขณะที่หลงลืมสติกับมีสติต่างกันอย่างไร เคล็ดลับคือการฟังให้เข้าใจค่ะ แล้วปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย ajarnkruo  วันที่ 20 ส.ค. 2550

ถ้าจะขอ ก็ควรขอให้มีโอกาสในการบำเพ็ญกุศลทุกประการด้วยครับ เช่นอุบาสิกาวิสาขาวิคารมารดา ทูลขอพระพุทธเจ้า ให้ทรงพระอนุญาตประทานโอกาสในการทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการขอในสิ่งที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติได้จริงๆ ในชีวิตประจำวันครับ

ถ้าจะขอ ก็ควรขอให้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมในทางที่ถูก การที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงของนามและรูป ที่ไม่ใช่เรื่องราว ไม่ใช่บัญญัติ ก็ต้องอาศัยการฟังธรรม พิจารณาธรรม สนทนาธรรม แล้วน้อมนำธรรมนั้นๆ มาปฏิบัติตามกำลังของปัญญา

ไม่ศึกษาได้ไหม แม้แต่พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นพระอรหันต์ ท่านก็ยังเป็นพระเสกขะบุคคลคือ ผู้ที่ยังต้องศึกษา ยังไม่หมดกิจของการศึกษา ส่วนปุถุชนอย่างเรามีความไม่รู้มากมายมหาศาลกว่าก็ยิ่งต้องศึกษาต่อไปอีก จะหาทางให้ผลของกรรมสำเร็จด้วยการขออย่างเดียวแต่ไม่ยอมศึกษา เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ครับ

หนทางนี้ยาวนานก็จริงแต่ถ้าเริ่มเจริญเหตุตั้งแต่ขณะนี้ ก็ย่อมเป็นการเริ่มตัดทอนความยืดยาวของสังสารวัฏฏ์ไปทีละนิดๆ แล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งท้อไปเสียก่อนละ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่จะเพียรศึกษาธรรมต่อไปครับ


ความคิดเห็น 5    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 20 ส.ค. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมคืออะไร ปัญญารู้อะไร และสติปัฏฐานหรือวิปัสสนาคืออะไร ธรรมคือ สิ่งที่มีจริง ขณะนี้ก็มีธรรม เช่น เสียงเป็นธรรม เพราะมีจริง ได้ยิน เป็นธรรมเพราะมีจริง แล้วปัญญาจะต้องรู้อย่างไร ต้องรู้ว่าธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เช่น เสียง ได้ยิน โกรธ เป็นต้น เป็นธรรมไม่ใช่เรา ต้องละกิเลสตัวนี้ก่อน ละความเป็นเรา แต่ปัญญามีหลายระดับนะ ปัญญาขั้นการฟัง ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ (ขณะที่ธรรมนั้นเกิด) ปัญญาขั้นการคิด เช่น คิดพิจารณาอาการ ๓๒ เช่น ผมเป็นปฏิกูลอย่างไร ขณะนั้นก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรม ก็ยังยึดถือว่าเป็นผม เป็นขน ซึ่งธรรมจริงๆ แล้วไม่ได้มีผม ขน แต่มีลักษณะจริงๆ เช่น ผม มีลักษณะ อ่อน อ่อนมีจริง เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ผม นี่จึงเป็นหนทางดับกิเลสครับ ขอแนะนำให้ฟังไฟล์ในเวปในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน หรือจากกระดานสนทนาก็ได้ครับ

ขออนุโมทนา ถ้าเริ่มต้นถูก ผลก็ถูก ถ้าเริ่มต้นผิด ผลก็ผิด พิจารณา เริ่มต้นใหม่นะครับ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 6    โดย nongnart  วันที่ 22 ส.ค. 2550

มีความเห็นว่า ควรอ่านตำราปรมัตถธรรมสังเขป ของท่าน อจ.สุจินต์ ซึ่งสามารถ Download ได้ในเว็บไซต์นี้ก่อน เพื่อศึกษาความหมายของรูปและนาม โดยค่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ ก่อนแล้วอ่านซ้ำไปซ้ำมาๆ อีกหลายๆ ครั้ง จะพบว่าความเข้าใจจะมีความแตกต่างกันไปของการอ่านของแต่ละครั้ง เพราะบางทีเราก็เข้าใจไม่ถูกแล้วอ่านข้ามเลยไป เพราะธรรมะเป็นของละเอียดมากๆ ค่ะ ในขณะเดียวกันก็ต้องหมั่นฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์อย่างต่อเนื่องด้วยค่ะ สุดท้ายก็จะพบความมหัศจรรย์ ของสิ่งที่ท่านปรารถนาได้ค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย yu_da2554hotmail  วันที่ 6 ส.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ