สนทนาธรรม ณ แดนพุทธภูมิ @มุมไบ วันพุธที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๖ (ช่วงเช้า)
อลคัททูปมสูตร
[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๘ - หน้าที่ 289
อริยาสาวกผู้สดับแล้ว ผู้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของพระอริยะ เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็น รูป ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
จูฬสัจจกสูตร
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 80
ส. พระโคดม ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้ว่า รูปเป็นตัวของเรา เวทนาเป็น ตัวของเรา สัญญาเป็นตัวของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตัวของเรา วิญญาณ เป็นตัวของเรา ดังนี้.
[๓๙๗] พ. อัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้น เราจักถามท่านเฉพาะในข้อนี้ ท่านเห็นอย่างไร จึงกล่าวแก้อย่างนั้น. ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ (พระเจ้าแผ่นดินใหญ่) ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว (สรงน้ำทั่วพระองค์ตลอดถึงพระเศียร ในเวลาจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน) เหมือน พระเจ้าปเสนทิโกศล แลพระเจ้ามคธราชอชาตศัตรู อาจฆ่าคนที่ควรต้อง ฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรต้องริบ เนรเทศคนที่ควรต้องเนรเทศ ต้องเป็นไป ได้ ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ หรือมิใช่.
ส. พระโคดม อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษก แล้ว เหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระเจ้ามคธราชอชาตศัตรู อาจฆ่าคน ที่ควรต้องฆ่า ริบราชบาตรคนที่ควรต้องริบ เนรเทศคนที่ควรต้อง เนรเทศ ต้องเป็นไปได้ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ เพราะว่าแต่อำนาจ ของหมู่คณะเหล่านี้ คือ วัชชี มัลละ ที่อาจฆ่าคนที่ควรต้องฆ่า ริบราชบาทว์ คนที่ควรต้องริบ เนรเทศคนที่ควรต้องเนรเทศ ยังเป็นไปได้ในแคว้นของ ตนๆ เหตุไฉนอำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิกเษก แล้ว เหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระเจ้ามคธราชอชาตศัตรู จักไม่เป็น ไปได้เช่นนั้น อำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว นั้น ต้องเป็นไปได้ด้วย ควรจะเป็นไปได้ด้วย.
พ. อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน ข้อที่ท่านกล่าว ว่า รูปเป็นตัวของเราดังนี้ อำนาจของท่านเป็นไปในรูปนั้นว่า รูปของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้ สัจจกะได้นิ่งอยู่ พระองค์ตรัสถามอย่างนี้ถึงครั้งที่สาม จึงได้ทูลตอบว่า ข้อนี้ไม่เป็นอย่างนั้นได้ พระโคดม.
พ. อัคคิเวสสนะ ท่านจงทำในใจเสียก่อนแล้ว จึงค่อยกล่าวแก้คำหลัง ของท่านไม่ต่อกันกับคำก่อน คำก่อนไม่ต่อกันกับคำหลัง.
[๓๙๘] อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน ข้อที่ท่านกล่าว ว่า เวทนาเป็นตัวของเรา สัญญาเป็นตัวของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตัวของ เรา วิญญาณเป็นตัวของเรา ดังนี้ อำนาจของท่านเป็นไปในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณว่า เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย สละวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ.
ส. ข้อนี้ไม่เป็นอย่างนั้น พระโคดม.
ท่านอาจารย์: เราเห็นภูเขา เห็นทะเล เห็นคน เห็นดินสอ เห็นปากกา เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นทุกอย่าง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า รูปธรรมที่เกิดมีจริงๆ แต่ไม่เห็น มีทั้งหมด ๒๘ รูป แต่รูปที่ใกล้ที่สุดสามารถ รู้ได้ ไม่ถึง ๒๘ รูป มีเพียง ๑๒ รูปเท่านั้นที่ปรากฏให้รู้ว่าเป็นรูป
พอจะนึกออกคิดออกไหม ในห้องนี้ก็มี? นี่เป็นวิปัสสนาญาณหรือเปล่า?
ชาวอินเดีย: ไม่สามารถยกตัวอย่างได้ ขอท่านอาจารย์ช่วยเกื้อกูลยกตัวอย่างด้วย
ท่านอาจารย์: เราพูดถึงรูป ๑๒ รูปใช่ไหม?
ชาวอินเดีย: ครับ
ท่านอาจารย์: รูปมีจริงๆ หรือเปล่า?
ชาวอินเดีย: มีจริง
ท่านอาจารย์: รูปรู้อะไรหรือเปล่า?
ชาวอินเดีย: ไม่รู้
ท่านอาจารย์: แล้วอะไรรู้?
ชาวอินเดีย: นามธรรม
ท่านอาจารย์: นามธรรมหมายความว่าอะไร?
ชาวอินเดีย: สภาพรู้
ท่านอาจารย์: สิ่งหนึ่งมีจริงเกิดขึ้นมีจริงๆ แล้วรู้ สภาพนั้นต้องเกิดขึ้นรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงต่างกันเป็น ๒ อย่าง ได้ยินรู้อะไรหรือเปล่า?
ชาวอินเดีย: รู้
ท่านอาจารย์: รู้อะไร?
ชาวอินเดีย: ได้ยิน ได้ยินแต่เสียง
ท่านอาจารย์: ได้ยินรู้เสียงเท่านั้น ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า?
ชาวอินเดีย: ต่างกัน
ท่านอาจารย์: ต่างกันอย่างไร?
ชาวอินเดีย: เสียงก็แค่เสียง ได้ยินได้ยินเสียง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เสียงไม่ได้ยินอะไรเลย แต่ได้ยินเกิดขึ้น รู้เสียง จึงได้ยินเสียงที่รู้ นี่เป็นการเริ่มต้นที่จะรู้จักธรรมที่มีมากมาย แต่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง จึงรู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นอนัตตา
ชาวอินเดีย: ขอท่านอาจารย์ช่วยพูดถึง อนัตตา ให้พวกเราเริ่มเข้าใจครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีอะไร? ไม่ใ่ช่อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก แต่เดี๋ยวนี้มีจริงๆ หรือเปล่า?
ชาวอินเดีย: เวลานี้อยากจะเข้าใจ
ท่านอาจารย์: ถ้าจะเข้าใจ ต้องคิด ถ้าฟังเฉยๆ ไม่คิด ไม่เข้าใจ
สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มีจริงๆ ทุกขณะแม้เดี๋ยวนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ คำว่า สิ่งที่มีจริง คือธรรม
เพราะฉะนั้น เริ่มคิดทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คำถามไม่ยากแต่ต้องคิด ถ้าไม่คิดจริงๆ ตอบไม่ได้ ถ้าถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร ก็ยากเกินไป แต่ถามว่า จริงๆ มีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า?
ชาวอินเดีย: มี
ท่านอาจารย์: อะไร? ถ้าตอบว่ามี ต้องรู้ว่า มีอะไรเพียงทีละหนึ่งเท่านั้น เดี๋ยวนี้มีอะไร?
ชาวอินเดีย: เวลานี้เรามีการฟัง สนทนากัน เราพยายามจะเข้าใจที่ได้ยิน
ท่านอาจารย์: หลายอย่าง เดี๋ยวนี้มีอะไร?
ชาวอินเดีย: ฉันฟังพวกคุณอยู่
ท่านอาจารย์: มีฉัน ๑ มีฟัง ๑ ใช่ไหม?
ชาวอินเดีย: มีเราทุกคน
ท่านอาจารย์: เราอยู่ไหน?
ชาวอินเดีย: เราผู้ที่ได้ยินอยู่
ท่านอาจารย์: ได้ยินเกิด เราเกิด หรือได้ยินเกิด?
ชาวอินเดีย: ได้ยินเกิด
ท่านอาจารย์: ค่ะ ไม่ใช่เรา อะไรอีก?
ชาวอินเดีย: เสียง
ท่านอาจารย์: เห็นเกิด ไม่ใช่เราเกิด เพราะฉะนั้น มีเราไหม? หรือมีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีจำ ทุกอย่างที่เกิด
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 305
บทว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นไป ในภูมิ ๔ ทั้งหมด เป็นอนัตตา.
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 172
อัสสาสะปัสสาสะ - ลมหายใจเข้าออก ย่อมตกแต่งกาย ฉะนั้นจึงชื่อว่า กายสังขาร. สัญญาด้วย เวทนาด้วย ย่อมตกแต่งจิต ฉะนั้น จึงชื่อว่าจิตตสังขาร. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอา สังขตสังขาร. ชื่อว่า อนิจจา - ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า มีแล้วกลับไม่มี.ชื่อว่า ทุกขา - เป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า เบียดเบียน.
คำว่า สพฺเพ ธมฺมา - ธรรมทั้งปวง ท่านกล่าวรวมเอาพระนิพพานเข้าไว้ด้วย. ชื่อว่า อนัตตา เพราะอรรถว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ.
ขอเชิญอ่านได้ที่ ...
๑๒ รูปหยาบนี้เป็นรูปใกล้ คือ เป็นสันติเกรูป
การประจักษ์สภาพของรูป
ขอเชิญฟังได้ที่ ...
อนัตตาไม่ใช่คำแปล
ทั้ง ๓ ปิฎก ไม่พ้นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แม้คำว่า อนัตตา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ