[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 216
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๔
๖. กุมาปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุมาบุตรเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 216
๖. กุมาปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุมาบุตรเถระ
[๑๗๓] ได้ยินว่า พระกุมาบุตรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
การฟังเป็นความดี ความประพฤติมักน้อยเป็นความดี การอยู่โดยไม่ห่วงใยเป็นความดีทุกเมื่อ การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี การทำตามโอวาทโดยเคารพเป็นความดี กิจมีการฟังเป็นต้นนี้ เป็นเครื่องสงบของผู้ไม่มีกังวล.
อรรถกถากุมาปุตตเถรคาถา
คาถาของท่านพระกุมาบุตรเถระ เริ่มต้นว่า สาธุ สุตํ. เรื่องราวของ ท่านเป็นอย่างไร?
ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เป็นดาบสผู้นุ่งห่มหนังเสือ อยู่ในราชอุทยาน ณ พันธุมตีนคร เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้วได้ถวายน้ำมันสำหรับนวดพระบาท.
ด้วยบุญกรรมนั้นท่านบังเกิดในเทวโลก. จำเดิมแต่นั้นมา ท่านก็ท่องเที่ยวอยู่เฉพาะในสุคติภพเท่านั้น บังเกิดในตระกูลคหบดีในเวฬุกัณฏกนคร แคว้นอวันตี ในพุทธุปบาทกาลนี้. คนทั้งหลายได้ขนานนามเขาว่า นันทะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 217
ส่วนมารดาของนันทกุมารนี้ ชื่อว่า กุมา. ด้วยเหตุนั้น เขาจึงมีชื่อปรากฏว่า กุมาปุตตะ. เขาฟังธรรมในสำนักของท่านพระสารีบุตร ได้ความเลื่อมใสแล้วบวช กระทำบุรพกิจเสร็จแล้วบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ท้ายภูเขา ไม่สามารถจะยังคุณพิเศษให้เกิดขึ้นได้ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรม ชำระกรรมฐานแล้ว อยู่ในที่ๆ เป็นสัปปายะ ยังวิปัสสนาให้เจริญแล้ว กระทำให้แจ้งพระอรหัต. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราอยู่ใกล้พระราชอุทยาน ในพระนครพันธุมดี ครั้งนั้นเรานุ่งหนังเสือเหลือง ถือคณโฑน้ำ เราได้พบพระสยัมภูพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลสธุลี ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้อะไรๆ มีความเพียรเผากิเลส มีพระหฤทัยแน่วแน่ มีปกติเพ่งพินิจ ยินดีในฌาน เป็นนักบวชผู้สำเร็จความประสงค์ทั้งปวง ข้ามพ้นโอฆะแล้ว ไม่มีอาสวะ ครั้นเราพบแล้วก็เลื่อมใสโสมนัส ได้ถวายน้ำมันสำหรับนวด. ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายน้ำมันสำหรับนวด ด้วยทานนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งน้ำมันสำหรับนวด. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำสำเร็จ แล้ว ดังนี้.
ก็ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เห็นภิกษุทั้งหลายมีร่างกายกำยำล่ำสันเป็นอันมากในป่า กล่าวสอนภิกษุเหล่านั้นอยู่ เมื่อจะประกาศความที่พระศาสนาเป็นนิยยานิกธรรม จึงได้ภาษิตคาถาว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 218
การฟังเป็นความดี ความประพฤติมักน้อยเป็นความดี การอยู่โดยไม่มีห่วงใยเป็นความดีทุกเมื่อ การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี การทำตามโอวาทโดยเคารพ เป็นความดี กิจมีการฟังเป็นต้นนี้ เป็นเครื่องสงบของผู้ไม่มีกังวล ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ แปลว่า เป็นความดี. บทว่า สุตํ แปลว่า การฟัง. ก็ฟังกถาวัตถุ ๑๐ อันปฏิสังยุตด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยเป็นต้น โดยพิเศษอันเข้าไปอาศัยพระนิพพานนั้นแล ท่านประสงค์เอาแล้วในคาถานี้.
บทว่า สาธุ จริตกํ ความว่า ความประพฤติมีความมักน้อยเป็นต้น นั้นแหละ ที่ประพฤติแล้วเป็นความดี อธิบายว่า ความประพฤติดีนั้นแหละ ท่านเรียกว่า จริตกะ. พระเถระแสดงพาหุสัจจะ และความปฏิบัติอันสมควรแก่พาหุสัจจะนั้นว่าเป็นความดี แม้ด้วยบททั้งสอง.
บทว่า สทา ความว่า ในกาลทั้งปวง คือ ในกาลที่เป็นพระนวกะ มัชฌิมะ และเถระ หรือในขณะแห่งอิริยาบถทั้งปวง.
บทว่า อนิเกตวิหาโร ความว่า กามคุณ ๕ หรือธรรมคืออารมณ์ ๖ อันเป็นโลกิยะ ชื่อว่า นิเกตะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง โดยเป็นที่อยู่อาศัยของกิเลสทั้งหลาย. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนคฤหบดี ผู้ที่มีความผูกพันในเบญจกามคุณที่มีรูปเป็นนิมิตอย่างกว้างขวาง เรากล่าวว่า นิเกตสารี ดังนี้เป็นอาทิ ข้อปฏิบัติเพื่อจะละเบญจกามคุณเหล่านั้น ชื่อว่า อนิเกตวิหาโร.
บทว่า อตฺถปุจฺฉนํ ความว่า การถามของผู้ที่อยากจะรู้ความนั้นเข้าไปหากัลยาณมิตรแล้วถามถึงประโยชน์ อันต่างด้วยทิฎฐธัมมิกประโยชน์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 219
สัมปรายิกประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์ หรือการถามถึงประโยชน์ของสภาวธรรมต่างโดยกุศลเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ ดังนี้ ชื่อว่า การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์.
บทว่า ปทกฺขิณกมฺมํ ความว่า ก็ครั้นถามสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นแล้ว ตั้งอยู่ในโอวาทของท่านโดยความเคารพชื่อว่า เป็นการปฏิบัติชอบ. บทว่า สาธุ แม้ในคาถานี้พึงนำมาประกอบเข้าด้วย.
บทว่า เอตํ สามญญํ ความว่า การฟังใดที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมี อาทิว่า สาธุ สุตํ ดังนี้ ก็ดีความประพฤติมักน้อยใดก็ดี การอยู่โดยไม่มีห่วงใยใดก็ดี การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์ใดก็ดี การกระทำตามโอวาทโดยเคารพใดก็ดี นี้เป็นเครื่องหมายของสมณะ คือ บ่งถึงความเป็นสมณะ. เพราะความเป็นสมณะ ย่อมมีด้วยปฏิปทานี้เท่านั้น ไม่มีด้วยปฏิปทาอื่น ฉะนั้น
บทว่า สามญญํ จึงเป็นชื่อของมรรคและผลโดยตรง. ก็หรือข้อปฏิบัตินี้ ชื่อว่า อปัณณกปฏิปทา (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด) สำหรับภิกษุนั้น. ก็คุณคือ เครื่องหมายแห่งความเป็นสมณะนี้นั้น ย่อมเกิดมีแก่ภิกษุเช่นใด เพื่อจะแสดงภิกษุเช่นนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อกิญจฺสฺส (ผู้ไม่มีกังวล) ดังนี้ ได้แก่ ผู้ไม่เข้าไปยึดถือเกี่ยวข้อง อธิบายว่า เว้นจากการถือครอบครองสมบัติ มี นา สวน เงิน ทอง ทาสี และทาสเป็นต้น.
จบอรรถกถากุมาปุตตเถรคาถา