เมื่อเกิดมาก็รู้สึกตัวว่าอยู่ในโลกที่มีคนมากมาย พ่อแม่ ตายาย พี่น้อง เพื่อนฝูง แต่เมื่อมามาฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์บรรยายธรรมที่ท่านศึกษา พิจารณาไตร่ตรอง จนเข้าใจจากพระไตรปิฎกแล้ว ก็ทำให้รู้ว่า อยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง และในแต่ละหนึ่งนั้นก็ยังเป็นโลกทางตาเพียง ๑ ทางหู ๑ ทางจมูก ๑ ทางลิ้น ๑ ทางกาย ๑ และทางใจอีก ๑ และในแต่ละหนึ่งนั้นก็ยังแยก ย่อยออกเป็นแต่ละ ๑ ขณะเท่านั้น
ถ้าสามารถรู้ ได้ละเอียดถึงแต่ละขณะจิตที่เกิดขึ้นทำ กิจการงานของตน ก็จะรู้ว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มี ตัวตน มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย จึงจะเรียกว่าเข้าใจธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ และท่าน อาจารย์ได้พยายามพร่ำสอนซ้ำๆ บ่อยๆ เนืองๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นอนัตตา ไม่ ใช่เรา เพราะเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ แล้วก็ดับไป แล้วจะมีเราอยู่ตรงไหน แต่ที่ต้องใช้คำว่า “เรา” เพราะเป็นสมมติบัญญัติให้ รู้ว่า ไม่ใช่จิต เจตสิก รูปอื่น แต่เป็นจิต เจตสิก รูปนี้แหละ
ความเข้าใจพระธรรมจะค่อยๆ ย่อยโลกอันใหญ่ให้เหลือแต่เพียงธรรมะแต่ละหนึ่ง
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์กาญจนาครับ
"ทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนาครับ
สาธุ ขออนุโมทนาอาจารย์กาญจนาค่ะ
ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรม สภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา
"ขณะมีสติระลึกรู้ตรงลักษณะที่แข็ง เป็นเพียงหนึ่ง ที่ไม่ใช่เรา "ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
"ธรรมะแต่ละหนึ่ง"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์กาญจนาด้วยครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
แต่ละหนึ่ง ของแต่ละคนที่สะสมมาไม่เหมือนกันค่ะ
แต่ที่ต้องใช้คำว่า “เรา” เพราะเป็นสมมติบัญญัติให้ รู้ว่า ไม่ใช่จิต เจตสิก รูปอื่น แต่เป็นจิต เจตสิก รูปนี้แหละ
...กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนา ด้วยค่ะ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ที่กรุณาถ่ายทอดธรรมออกมาเป็นภาษาที่ง่ายต่อความเข้าใจค่ะ