การฝันคือ มโนทวาร รู้เรื่องราวทางใจขณะที่กำลังหลับ อยากทราบว่า
1. การฝันร้ายเป็นเวลานานระหว่างหลับทำให้เราเสียความสมดุลย์ของร่างกายและจิต มากไหม
2. การนอนหลับดีไม่ต้องฝันดีเป็นการดีกว่าใช่หรือไม่
ความฝัน คือ วิถีจิตทางมโนทวาร ขณะนั้นไม่ใช่การหลับ และไม่ใช่การตื่นจากหลับในขณะที่ฝัน จิตเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ความฝันที่เป็นไปในเรื่องกุศล เช่น ฝันว่าให้ทาน เป็นต้น ดีกว่า ความฝันที่เป็นอกุศล แต่การหลับโดยไม่ฝันเลยดีกว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย เวลาท่านหลับจะไม่มีการฝัน เพราะท่านดับกิเลสได้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นปุถุชนทั้งหลาย เวลานอนหลับ ย่อมมีการฝันเป็นธรรมดา และเป็นไปตามสะสม ถ้าชีวิตประจำวันเป็นไปกับอกุศลมาก ในขณะนอนหลับฝันก็เป็นอกุศล จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงธรรมที่เกิดเพราะปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่ควรกังวลกับความฝัน สิ่งที่ควรพิจารณาใส่ใจศึกษาก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ความเข้าใจพระธรรมก็ต้องค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว
ขณะที่กำลังฝัน ไม่พ้นไปจากนามธรรม คือ จิตและเจตสิก ที่ฝัน และขณะที่ฝันต้องไม่ใช่ขณะที่หลับสนิท เพราะถ้าเป็นขณะที่หลับสนิท จิตเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ จิตไม่ได้เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใดทางหนึ่งใน ๖ ทาง จึงไม่ฝัน เพราะในขณะที่ฝัน ต้องเป็นวิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง) แต่ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เป็นวิถีจิตทางใจเท่านั้น ที่ฝัน เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้างตามการสะสม ซึ่งขณะที่กำลังฝันนั้นเป็นการคิดนึกถึงเรื่องบัญญัติของสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้กลิ่น เป็นต้น นั่นเอง ในขณะที่ฝัน จิต เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่มีเราที่ฝัน ซึ่งเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเท่านั้น ส่วนเรื่องราวที่ฝัน ไม่มีจริง
1. การฝันร้ายเป็นเวลานานระหว่างหลับ ทำให้เราเสียความสมดุลย์ของร่างกายและจิตมากไหม
การฝันร้ายก็คือ ขณะที่เกิดอกุศลจิต ขณะนั้น จิตไม่ดีเกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดรูปที่ไม่ดี เช่น ถ้าอกุศลจิตมีกำลังมาก ก็ทำให้เกิดการละเมอได้ เป็นต้น ซึ่งการเสียสมดุลย์ในร่างกาย ถ้ามุ่งหมายถึง สุขภาพแล้ว ความฝันที่ไม่ดี ฝันร้าย เป็นเพียงอกุศลจิตที่ไม่มีกำลัง จึงไม่ถึงกับเป็นปัจจัยให้จะเสียสมดุลทางสุขภาพร่างกาย หากแต่ว่า ถ้าเป็นอกุศลที่ไม่ใช่ความฝัน แต่เกิดในชีวิตประจำวัน ก็มีกำลังมากกว่า ก็เป็นเหตุให้เกิดรูปที่ไม่ดี จนเป็นเหตุให้เสียสุขภาพ เช่น คนที่คิดฟุ้งซ่านมากๆ เป็นต้น ครับ
2. การนอนหลับดีไม่ต้องฝันดีเป็นการดีกว่าใช่หรือไม่
การนอนหลับเป็นภวังคจิตที่เป็นผลของกรรม ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วแต่ว่ากรรมใดให้ผล เพราะขณะที่ฝัน ไม่ใช่ผลของกรรมแล้ว แต่เป็นอกุศลจิต กุศลจิตที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะฉะนั้น ขณะที่หลับสนิท จิตไม่เป็นอกุศล ไม่เป็นกุศล ย่อมดีกว่าจิตที่เป็นอกุศล คือ ฝันด้วยอกุศลจิต แต่การหลับ ที่ไม่เป็นกุศล อกุศล แต่เป็นวิบาก ซึ่งการฝันด้วยกุศลจิต ย่อมประเสริฐกว่า เพราะจิตเป็นกุศล ครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่พ้นไปจากธรรมเลย เพราะฝันเป็นธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นเรื่องของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างแท้จริง จะเป็นกุศลจิตที่ฝัน หรือ อกุศลจิตที่ฝัน ก็ตามการสะสม และเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้ในขณะต่อไป ความเป็นจริงแล้ว อกุศล ไม่มีประโยชน์เลย ซึ่งจะแตกต่างกับขณะที่เป็นกุศลอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่หลับสนิท บุญกุศลคุณความดีเกิดขึ้นไม่ได้เลย แม้อกุศลก็เกิดไม่ได้ เพราะขณะนั้นเป็นวิบากจิต ทำกิจดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้ แต่พอตื่นแล้ว ก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แต่ขณะที่มีค่าและประเสริฐต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ถ้าจะกล่าวให้ได้พิจารณาแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า หลับมามากแล้วในสังสารวัฏฏ์ฏ ควรที่จะได้ห็นคุณค่าของกุศลเพิ่มขึ้น และขณะที่กุศลจะเจริญขึ้นได้ ต้องเป็นในขณะที่ไม่หลับ เท่านั้น ครับ
ขออนุโมนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ฝัน คือ ความคิดนึก ค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ