ปุถุชน ต้องหลับพักผ่อนในแต่ละวัน และเมื่อฝันก็ปรุงแต่งสิ่งที่จำ สร้างเป็นเรื่องราวต่างๆ พระอรหันต์หมดสิ้นเรื่องกิเลส จึงไม่น่ามีความฝัน แต่คงต้องพักผ่อน ซึ่งจะอยู่ในลักษณะใด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่หลับสนิท เป็นภวังคจิต เป็นวิบากจิตที่เกิดขึ้นทำกิจดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทำสัมผัสกาย ไม่ได้คิดนึก ไม่ได้เป็นกุศล ไม่ได้เป็นอกุศล ใดๆ เลยพระอรหันต์คือผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ไม่มีจิตที่เป็นกุศลและอกุศลเลย มีแต่จิตที่เป็นวิบากจิตและกิริยาจิต ดังนั้นพระอรหันต์ท่านมีภวังคจิต และ มีการหลับสนิที่เป็นภวังคจิตด้วย แต่ไม่มีการฝัน พระอรหันต์มีกาย จึงมีความอ่อนล้าทางร่างกาย ก็มีการพักผ่อน มีการหลับ ด้วยภวังคจิต ครับ
ซึ่งควรเข้าใจครับว่า สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมทีเป็นามธรรมและรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ขณะฝันก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมเช่นกัน ขณะฝัน ขณะนั้นก็เป็นจิต จิตที่คิดนึกในเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นอาศัย สัญญา ความจำ จำในสิ่งต่างๆ และเมื่อมีความจำ ก็มีการคิดนึกในสิ่งที่จำมาในชีวิตประจำวันหรือในอดีตที่เคยเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งกระทบสัมผัส และเมื่อมีการเห็น ได้ยินสิ่งต่างๆ ในอดีตแล้ว ขณะนั้นก็ต้องมีการจำด้วยจำในสิ่งต่างๆ ทีๆ ได้เห็น ได้ยิน และก็มีการคิดนึกถึงเรื่องที่เห็น ทีได้ยินทีได้จำมาครับเพราะฉะนั้น ขณะที่ฝันก็เป็นการคิดนึกคือจิตที่คิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็น เคยได้ยินมา เป็นต้น เพราะฉะนั้นอาศัยสภาพธรรม อาศัย สัญญาความจำ อาศัยจิตจึงมีการฝันเป็นเรื่อราวต่างๆ เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ขณะที่ฝันไม่ใช่ขณะที่เห็น แต่เหมือนเห็น ฝันคือการคิดนึกครับ ซึ่งหตุให้เกิดความฝันก็เพราะมีสํญญา มีจิต มีอกุศลอยู่จึงมีการฝัน
ดังนั้น ความฝันจึงเกิดจากการปรุงแต่งของผู้ที่มีเลสอยู่ ทำให้เกิดความฝันที่เป็นกุศล และ อกุศลครับ ส่วนพระอรหันต์ท่านดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ท่านละวิปลาสได้ คือ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงที่เป็นอกุศลจิต จึงไม่มีความฝันที่เป็นความวิปลาสได้ เมื่อความฝันนั้นเป็นอกุศลครับ และท่านก็ละความยินดี พอใจติดข้องในสิ่งต่างๆ และอวิชชา ความมไม่รู้ และกิเลสประการต่างๆ ทั้งสิ้น จิตของท่านจึงมีเพียงชาติวิบากและกิริยา ไม่เป็นกุศล หรือ อกุศลเลยครับ เพราะฉะนั้น ในเมื่อความฝัน เป็นจิตชาติกุศล หรือ อกุศล พระอรหันต์ไม่มีกุศลจิต หรือ อกุศลจิตเกิดแล้วจึงไม่ฝันนั่นเองครับ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ละวิปลาสได้ทั้งหมด คือ ความเข้าใจ คลาดเคลื่อนตามความเป็นจริงและอกุศลได้หมดสิ้น จึงไม่ฝันอีกต่อไปครับ ผู้ถามเข้าใจถูกต้องแล้วครับ เพราะท่านละวิปลาส ที่เป็นอกุศลได้หมดแล้วครับ จึงไม่ฝัน
ขออนุโมทนา
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 102
ข้อความบางตอนจาก
อรรถกถาพระวินัย
ก็แลความฝันทั้ง ๔ อย่างนี้นั้น พระเสขะและปุถุชนเท่านั้น ย่อมฝันเพราะยังละวิปลาสไม่ได้ พระอเสขะทั้งหลาย ย่อมไม่ฝันเพราะท่านละวิปลาสได้แล้ว
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย จิตของพระอรหันต์มี ๒ ชาติ คือ วิบาก กับ กิริยา
ธรรมเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เมื่อ วิถีจิตทางปัญจทวาร คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เกิดขึ้น ย่อมเป็นปัจจัยให้ วิถีจิตทางมโนทวารสืบต่อ (คิดนึก) เป็นธรรมดาของจิต ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และบังคับบัญชาให้เกิดขึ้นก็ไม่ได้ เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย และวิถีจิต ที่ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ หรือ ผู้ที่ดับกิเลสหมด ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ความจริงก็ต้องเป็นอย่างนี้ แต่จะต่างตรงเรื่องของความฝัน ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ย่อมฝัน ความฝันเกิดขึ้นเป็นไปทางมโนทวาร (คิดนึก) ที่ฝันเพราะยังมีกิเลสอยู่ จึงฝัน ความฝัน เป็นความคิดนึกที่เป็นกุศล บ้าง เป็น อกุศลบ้าง แต่สำหรับผู้ที่เป็น พระอรหันต์แล้วนั้น ท่านไม่ฝัน เพราะท่านไม่มีกิเลส ดับกิเลสหมดแล้ว ไม่มีกุศลกับอกุศล เกิดขึ้นอีกเลย มีจิตเพียง ๒ ชาติ คือ ชาติวิบาก กับ กิริยาเท่านั้น เรื่องของความฝัน จึงเป็นเรื่องของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เท่านั้น ครับ
ขอเชิญคลิกฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่นี่ครับ
เหตุใดปุถุชนจึงฝัน แต่พระอรหันต์ไม่ฝัน
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณอย่างสูง ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณครับ อนุโมทนาสาธุครับ
ขออนุโมทนาครับ