เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ขอให้สหายธัมมะแสดงความคิดเห็นในหัวข้อนี้ที่ว่า
เรื่องราวในชีวิตประจำวันไม่มีจริง มีเพียง จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นทำกิจเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันมีเมื่อคิด
จริงๆ แล้วก็ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก รูป โดยสภาพของจิตเกิดดับสื่บต่อกันโดยเหตุ ปัจจัย ถ้าไม่มีจิตแล้ว เรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้ก็ไม่มี สิ่งที่จิตรู้ เป็นสิ่งที่มีจริง และไม่มีจริง ที่เราไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมว่า ไม่มีตัวเรา เพราะเราถูกอวิชชา คือ ความไม่รู้ทั้งหมดปิดบัง ทำให้เราหลงยึดถือด้วย ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ
จิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ เกิดดับเพียงทีละหนึ่งขณะ แต่กระนั้น ด้วยความรวดเร็วของการเกิดดับสืบต่อกันตามเหตุปัจจัย บัญญัติที่ประติดประต่อขึ้นมาจากรูปต่างๆ จากสิ่งที่เห็นทางตาดับไป ภวังคจิตหลายขณะเกิดคั่นดับไป จิตคิดทางมโนทวารเกิดขึ้นดับไป กลับดูเหมือนว่าเรายังสามารถคิดนึกในเรื่องนั้นต่อได้อีก เสมือนกับว่าอยู่ในโลกของความเป็นจริง ทั้งที่ไม่ใช่ เพราะขณะนั้น เป็นเพียงบัญญัติที่เป็นอารมณ์ของจิต ด้วยเหตุที่ อวิชชา ปิดบังสภาพของจิตที่คิดนึกเรื่องราวจาก สัญญาความทรงจำในรูปที่เกิดกับจิตทางทวารต่างๆ หรือจากเวทนา ความรู้สึก สุข ทุกข์ เฉย ที่เกิดขึ้นเสวยอารมณ์นั้นๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยให้จิตคิด เกิดคิดไปต่างๆ นาๆ หมกมุ่นอยู่แต่ในโลกความคิดของตน โดยไม่ได้ระลึกรู้ถึงถึงสภาพจริงที่ปรากฏกับจิต รวมทั้งไม่สามารถประจักษ์ถึงความเกิดดับของจิตแต่ละดวง โดยการแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิงด้วยปัญญาในขั้นสูงได้
หากไม่ได้ศึกษาในพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พุทธสาวก ตลอดพระชนมายุ ๔๕ พรรษา ก็ไม่อาจจะหลุดพ้นไปจาก "อัตตสัญญา" ที่ทำให้จำมั่นในความเห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน สิ่งต่างๆ จากคำที่บัญญัติขึ้น และไม่อาจจะหลุดพ้นไปจาก "อวิชชา" สภาพที่ไม่รู้ สภาพที่หลงลืม จึงหลงวนอยู่แต่ในความคิดของตนในสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏ ที่เข้ามาหลอมรวมกันเสมือนเป็นเรื่องราวมากมายในชีวิตประจำวัน
ถ้าท่านผู้ฟังเห็นช่างกำลังเขียนรูป จากสิ่งซึ่งไม่มีอะไรเลย แต่อาศัยสีต่างๆ กระทำให้วิจิตรเกิดขึ้นเป็นรูปต่างๆ ฉันใด ขณะนี้จิตของท่านผู้ฟังเหมือนกับช่างเขียนซึ่งกำลังจะเขียนรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งจะเกิดต่อไปในอนาคต ขณะนี้ทุกท่านต่างกันตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะความวิจิตรซึ่งเกิดขึ้นเนิ่นนานมาแล้ว ฉันใด จิตซึ่งกำลังวิจิตรในขณะนี้ก็กำลังกระทำให้วิจิตร ซึ่งจะเป็นคติ จะเป็นเพศ จะเป็นรูปร่างสัณฐาน จะเป็นการได้ลาภหรือเสื่อมลาภ ได้ยศหรือเสื่อมยศ ได้สุขหรือทุกข์ นินทาหรือสรรเสริญในกาลข้างหน้า ด้วยเหตุนี้จึงควรที่จะพิจารณาลักษณะของจิตที่กำลังปรากฏ ซึ่งกำลังเขียนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้า (พุทธธรรม)
ถ้าขณะนี้สติไม่เกิด ก็ไม่รู้ความจริงซึ่งไม่ใช่เรื่องราวใดๆ เลย
มีเมื่อคิด หลับสนิท เรื่องนั้นมีหรือเปล่า
คิดมีจริง
แต่สิ่งที่คิดน่ะ ไม่มี
ขณะที่หลับสนิทเป็นภวังคจิต จะไม่ฝัน ไม่มีเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้ ปุถุชนขณะหลับฝัน สัตว์เดรัจฉานหลับก็ฝัน เปรตก็ฝัน อสุรกายก็ฝัน ส่วนพระอรหันต์ ไม่ฝัน และสัตว์นรกก็ไม่ฝัน เพราะได้รับทุกขเวทนามาก ไม่มีเวลาหลับ ไม่มีเวลาฝันค่ะ
คิดมีจริง
แต่สิ่งที่คิดน่ะ.....ไม่มี
สาธุ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ