กราบนอบน้อมพระรัตนตรับด้วยเศียรเกล้า
ในบทว่า เอวเมว โข นี้ มีข้ออุปมาเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ :-
พาลปุถุชนผู้มิได้สดับ (ธรรมของพระอริยะ) ในเวลาที่อาศัยวัฏฏะ (ยังเวียนว่ายตายเกิด) เปรียบเหมือนบุตรคหบดีผู้โง่เขลา.
เบญจขันธ์ไม่มีกำลังทุรพล (ทรุดโทรม, เกิดดับอยู่ตลอดเวลา) เปรียบเหมือนศัตรูคอยดักสังหาร.
เบญจขันธ์ซึ่งเข้าถึงในขณะปฏิสนธิ เปรียบเหมือนเวลาที่ศัตรูผู้คอยดักสังหารเข้าไปหาด้วยหวังว่าจักรับใช้บุตรคหบดีผู้โง่.
เวลาที่ปุถุชนผู้อาศัยวัฏฏะ ไม่ยืดถือเบญจขันธ์ว่าเหล่านี้เป็นของเรา (แต่กลับแยก) ยึดถือว่า รูปของเรา เวทนาของเรา สัญญาของเรา สังขารของเรา วิญญาณของเรา เปรียบเหมือนเวลาที่บุตรคหบดีผู้โง่เขลาไม่ทราบว่า ผู้นี้เป็นสหายของเรา ผู้นี้เป็นศัตรูผู้คอยดักสังหารของเรา.
เวลาที่ปุถุชนผู้อาศัยวัฏฏะ ยึดถือ (เบญจขันธ์) ว่าเหล่านี้ของเรา แล้วทำสักการะ (ปรนนิบัติ) เบญจขันธ์ด้วยการอาบน้ำและการกิน เป็นต้น เปรียบเหมือนเวลาที่ศัตรูผู้คอยดักสังหารยอมรับว่า ผู้นี้เป็นมิตรของเรา แล้วทำสักการะ (ปรนนิบัติ) .
การที่พาลปุถุชนผู้คุ้นเคยแล้วสิ้นชีวิตเพราะขันธ์แตกในขณะจุติ พึงทราบว่าเปรียบเหมือนการที่ศัตรูผู้คอยดักสังหารทราบว่าคหบดีหรือบุตรคหบดีนี้กับเราคุ้นเคยกันมากแล้ว ทำสักการะพลางเอาดาบตัดศีรษะ (ของคหบดีหรือบุตรของคหบดี) .
บทว่า อุเปติ แปลว่า เข้าใกล้. บทว่า อุปาทิยติ แปลว่า ยึดถือ. บทว่า อธิฏฺาติ แปลว่า ตั้งมั่น. บทว่า อตฺตา เม ความว่า นี้เป็นอัตตาของเรา.
บทว่า สุตวา จ โข อาวุโส อริยสาวโก ความว่า บุตรคหบดีผู้เป็นบัณฑิตรู้จักศัตรูผู้เข้าใกล้อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นศัตรูของเรา แล้วไม่ประมาท ใช้ศัตรูให้ทำงานชนิดนั้นๆ หลบหลีกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ย่อมได้รับประโยชน์ ฉันใด แม้พระอริยสาวกผู้ได้สดับ (ธรรมของ พระอริยะ) ก็ฉันนั้น ไม่ยึดถือเบญจขันธ์ว่าเป็นเราหรือว่าของเรา โดยนัยเป็นต้นว่า ไม่พิจารณาเห็นรูปว่าเป็นอัตตา ทราบว่าเบญจขันธ์เหล่านี้เป็นศัตรูของเราแล้วประกอบเข้ากับวิปัสสนาโดยเป็นรูปสัตตกะ (หมวดเจ็ดของรูป) และอรูปสัตตกะ (หมวดเจ็ดของอรูป) เป็นต้น หลีกเว้นทุกข์ซึ่งเกิดจากเบญจขันธ์นั้น ย่อมได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อันเป็นผลที่เลิศ.
ส่วนหนึ่งจาก อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓๓.
ยมกสูตร ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
ศึกษาเพิ่มเติมที่ ...
๓. ยมกสูตร ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
... ส่วนใหญ่เราจะคิดถึงไม่อยากมีโทสะอันดับแรก แล้วก็ต่อไปอาจจะเห็นโทษของโลภะว่าเพราะมีโลภะนั่นเองจึงได้มีโทสะ ก็เห็นโทษ และก็ไม่อยากจะมีโลภะมากๆ เพราะว่าถ้ามีโลภะมากจนกระทั่งเกินประมาณก็เป็นเหตุให้กระทำทุจริตกรรม และเมื่อทำทุจริตกรรมแล้วไม่ใช่ว่าจะมีความสุขเลย ผลของอกุศลกรรมก็ติดตามมา แต่โทษที่มากจริงๆ คือโมหะ ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งถ้ายังมีโมหะอยู่ ออกจากสังสารวัฏฏ์จนกระทั่งเป็นการปรินิพพานไม่ได้เลย มีความไม่รู้อย่างมากมายในเรื่องของความไม่รู้ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินคำไหนก็ติดตามไปเพื่อที่จะได้ฟังธรรม และได้เข้าใจถึงโทษมากของอวิชชาหรือโมหะ...
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ฟังเสียงคลิกที่
โทษของความไม่รู้
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดียิ่งในกุศลทุกประการค่ะต้อม
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของคุณน้าสิริพรรณด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ