ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารอบรู้ในคำของพระองค์ ซึ่งหมายความถึงรอบรู้ในความเข้าใจสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นศึกษาอะไร? ศึกษาสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ
หารู้ไม่ว่าธรรมะคืออะไร เพราะฉะนั้นผิดตั้งแต่ต้น ถ้ารู้จักพระพุทธเจ้า ... ประมาทไม่ได้ในแต่ละคำที่ลึกซึ้งมาก ... พระองค์ตรัสไม่กี่คำ "ธรรมะทั้งปวง (ธรรมะทั้งปวงไม่เว้นเลย) เป็นอนัตตา" แค่นี้ตลอด 45 พรรษาและตลอดชีวิตของทุกคน ตลอดชีวิตตั้งแต่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะให้ตรงความจริงทั้งหมดว่า ธรรมะสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ... จะต้องไปหาธรรมะที่ไหนไหม? จะต้องเข้าใจความหมายของธรรมะก่อน ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ... ถ้าไม่มี พระองค์จะตรัสรู้อะไร? ถ้าสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ต้องมีจริงๆ ต้องบอกได้ว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร ไม่งั้นก็พูดเปล่าๆ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ต้องมี หามาว่าอะไรที่จริง
ในการฟังคำของพระพุทธเจ้าซึ่งทรงแสดงความจริงคือธรรมะ เพราะว่ามีจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าอะไร!!! ความไม่รู้ไม่มีทางเลยจะไปคิดเองได้ เรียนธรรมะทีละคำเพื่อเข้าใจความหมายของสิ่งนั้นว่า ไม่ต้องไปแสวงหา เริ่มฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง แสดงว่าตลอดเวลาไม่รู้ความจริงและไม่รู้อะไรมีจริง แต่พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ มีลักษณะที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
พอเริ่มเข้าใจคำแรก ไม่มีความสงสัย ... สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้มีจริงเป็นธรรมะ รู้ว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง หายสงสัยไหมและไม่ต้องไปหาเลย กำลังมี นี่คือรู้จักธรรมะ
กำลังมีธรรมะ เพราะธรรมะกำลังมีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่เรายังไม่รู้ว่าอะไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรัสรู้ ตรัสรู้ธรรมะ ไม่ตรัสรู้อื่น ตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และตรัสว่า "ธรรมะทั้งปวงทั้งหมดไม่เว้น" เพราะฉะนั้นศึกษาทีละคำต้องตรงกับแต่ละคำที่ได้ฟังคัดค้านกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมะที่มีเดี๋ยวนี้เป็นอนัตตา (อัตตาหมายถึงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ... อ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงเป็นอนัตตา)
เชิญชม
ณ กาลครั้งหนึ่ง “สนทนาธรรมที่ บ้าน ซ. พัฒนเวศม์” วันอังคารที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗
🔴 youtu.be/eVSYVEUAEEs?si=yRjvrwQ1sGQuMlGr
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กว่าจะ ... มั่นคง ต้องฟังด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่จำ
เห็นเป็นถ้วยแก้ว เป็นโต๊ะ ไม่ใช่อนัตตา เพราะไม่ใช่ถ้วยแก้ว ไม่ใช่โต๊ะ คือเริ่มฟังความจริงที่ลึกซึ้งมาก มีอยู่ตลอดเวลาแสนโกฏกัป แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยความประมาท ฟังเผิน ฟังโดยไม่เข้าใจ ฟังโดยจำ และท่องคิดว่ากำลังศึกษาพระอภิธรรม แต่อภิต้องเป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง จึงมีคำว่าอภิธรรม กำลังมีเดี๋ยวนี้ ใครรู้?พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ เป็นกัปๆ เพื่อจะรู้ความจริงตามที่มีเดี๋ยวนี้ ... เห็นความลึกซึ้งไหม?
เราอยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ระดับไหน ... ระดับที่เหมือนคนตาบอดเลย ระดับเหมือนคนอยู่ในความมืดสนิท ทั้งๆ ที่สว่างอย่างนี้ แต่ความจริงไม่ได้ปรากฏเลย ถ้าได้ฟังคำของพระองค์แต่ละคำ ต้องรู้ความลึกซึ้งอย่างยิ่งใหญ่มาก สภาพธธรรมะมีจริง แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรจะปรากฏไม่ได้ แต่ที่เห็นเป็นอะไรก็ตามแต่ เห็นมีจึงมีสิ่งที่ถูกเห็น เห็นเพียงแต่สิ่งที่กระทบตา ... เห็นแข็งไม่ได้ เห็นเก้าอี้ไม่ได้ เห็นอะไรไม่ได้ เห็นได้แต่สิ่งที่กระทบตา ... ปรากฏทางตาเท่านั้น!!!
ฟังเพื่อที่จะเข้าใจพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ทุกคำของพระองค์ไม่ได้ให้เชื่อ แต่ให้รู้ความจริงที่หลงไม่รู้ความจริงมานานเท่าไหร่ ไม่มีทางจะรู้เลยถ้าไม่ได้ฟังทุกคำของพระองค์ด้วยความเคารพ ด้วยความไตร่ตรอง ... ลึกซึ้งจนเมื่อทรงตรัสรู้ ตรัสว่า "ธรรมะลึกซึ้ง" ถ้าไม่ลึกซึ้งต้องฟังอีกนานๆ อย่างนี้ไหม??
ฟังเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องคิด ทุกอย่างในชีวิต ไม่ใช่ฟังเรื่องอื่น ฟังเรื่องที่มีจริงทุกอย่างในชีวิต เพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่ามันไม่เหลือแล้ว มันหมดแล้ว มันเพียงปรากฏแล้วหมดไป ค่อยๆ ฟังและค่อยๆ ละความไม่รู้แสนโกฏกัป พร้อมทั้งความติดข้องมหาศาลประมาณไม่ได้เลยเกินจักรวาล ทั้งมืด ทั้งสกปรก สารพัดอย่าง เหม็นก็ได้ เพราะเหตุว่าพระองค์ตรัสว่ากลิ่นทั้งหลายไม่ใช่กลิ่นเนื้อ ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ ... กลิ่นของศีลทวนลมก็ได้
ทุกคำของพระองค์ความลึกซึ้งมากมาย ทรงแสดง 45 พรรษา เราฟังยังไม่ถึงใช่ไหม? แล้วแต่ละคำเราฟังเผินหรือเปล่า ฟังแล้วจำหรือเปล่าฟังแล้วรู้ไหมว่าพูดถึงสิ่งที่มีทั้งหมดไม่ใช่ที่ไหนเลย ไม่ใช่ใคร แต่ที่นี่ ที่เรานี่ แล้วเริ่มรู้อะไรบ้าง? แค่ไหน? เป็นความจริง เพราะฉะนั้นชีวิตต้องเป็นปกติ เพราะว่าทุกอย่างที่มีไม่มีใครไปทำ ทุกอย่างที่มีเกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดไม่มี!!! ถ้าไม่กระทบตาแต่ละหนึ่งไม่ปรากฏ!!!
นิมิตทั้งหลาย รูปร่างสัณฐานทั้งหลายมาจากการเกิดและดับสืบต่อกันเร็วมาก เพราะฉะนั้นฟังธรรมะไม่ใช่ฟังเพื่อจะไปรู้ทันที จะไปปฏิบัติจะไปทำอะไร นั่นไม่ใช่ ต้องรู้ว่าเข้าใจแค่ไหนในการฟังแต่ละคำ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่การศึกษาธรรมะ ไปฟังมาและจำมา แล้วก็หาไม่เจอว่าธรรมะอยู่ไหน แต่เดี๋ยวนี้ธรรมะทั้งนั้นเลย!!!
ไม่ ไม่ใช่เราจะไปฝืนพยายามตั้งไจจะรู้คิดว่านั่นคือเครื่องหมายคำพูดสติ"ไม่ใช่!
ฟังเพื่อเข้าใจ จึงละความไม่รู้และความติดข้อง ตลอดชีวิตเป็นปกติและไม่แสวงหาแต่ฟังทุกคำและไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจมั่นคงขึ้นตามลำดับ
อริยสัจธรรม ... ผู้รู้เป็นผู้ประเสริฐเพราะสามารถจะรู้ถึงความลึกซึ้งของธรรมะเดี๋ยวนี้เป็นปกติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรเลยมีแล้วทั้งนั้น แค่นี้กี่ แสนกัปจะรู้ ... นับประมาณไม่ได้ ... ต้องตรง ... ไม่ใช่ว่าพอฟังปุ๊ปรู้ทันที ... กว่าจะรู้ได้ต้องปริยัติรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ทุกคำต้องสอดคล้องกันหมด เปลี่ยนไม่ได้!!!
เรามีไหม ... ไม่มีแล้วเราจะไปทำให้รู้ได้ยังไง ... ต้องตรงต่อความจริงทุกคำ ละเอียดมาก ถ้าใครขาดความละเอียด ไม่มีทางจะรู้ว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า!!! ตู่หมดเลย คิดว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ปฏิบัติ ศึกษาอภิธรรมกันใหญ่เลย จิตเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ รูปเท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวนี้อะไร??
พระพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจ ไม่ว่าที่ไหนทรงแสดงความจริงละเอียดอย่างยิ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง 45 พรรษา โดยนัยต่างๆ ทุกคำไม่ใช่ชื่อแต่เข้าใจ คำไหนที่ได้ยินแล้วไม่เข้าใจ ... ไม่ใช่ฟังคำของพระพุทธเจ้าและไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
ศึกษาธรรมะเป็นปกติ เพราะไม่ใช่เราแต่มีสภาพธรรมะที่ไตร่ตรอง สภาพธรรมะที่เริ่มเห็นถูก เริ่มเข้าใจทุกอย่างในชีวิต แต่เราก็ลืมเพราะว่าในสังสารวัฏแสนนานมาแล้ว เป็นเรื่องคน สัตว์ต่างๆ ทุกชาติไป ... ลืมว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นฟังจนกระทั่งไม่ลืม ฟังแล้วก็ไม่สงสัยเพราะจริง ไม่มีใครไปทำได้เลย พอได้ยินอย่างนี้ ฟังทุกคำ ไตร่ตรองเพิ่มขึ้น ไม่ประมาทเลย
ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องละ ... เมื่อไหร่จะถึง จะทำยังไง ... นั่นผิดหมด ให้รู้ว่าไม่รู้เท่าไหร่และค่อยๆ ละความไม่รู้ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเท่านั้นเอง จนกว่าความไม่รู้จะหมดตามลำดับขั้น แต่ขั้นแรกคือขั้นที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ฟังคำของพระพุทธเจ้า ถ้าไตร่ตรองจะลึกขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงคำว่าธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน นั่นหมายความว่าต้องมีธาตุรู้อื่น แต่ธาตุรู้หนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ... ข้ามไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ใช้ชื่อแต่เข้าใจก่อน เราถึงจะรู้ว่าธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ถูกรู้คือจิต ธาตุก็บอกแล้วเกิดมาเป็นอย่างนั้น เกิดมาเป็นแข็ง ธาตุแข็ง ความเป็นไปของธรรมะ ตัดเราไปเลย คือธรรมะเขาเป็นอย่างนี้ จะไปเปลี่ยนหรือไม่ให้มีธาตุรู้หรือ ... ก็ไม่รู้จักธรรมะสิ!!!
ฟังแล้วต้องไตร่ตรองอย่างมากกว่าจะเข้าถึงความเข้าใจและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เพราะฉะนั้นต้องมั่นคง ... ธรรมะมีจริงๆ ไม่ใช่เรา ... จบปัญหาว่าจะไปทำอะไรหมด ... ถ้าฟังไม่ดี ... เราจะทำและเราก็พยายามทำกันเลอะเทอะไปหมด เพราะไม่รู้ว่าเกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่รู้สิ่งที่มีแล้วเกิดแล้วไม่รู้ จะไปรู้อะไร?? แล้วจะไปทำให้เกิด ... จะได้ยังไง ... คือความไม่รู้มันสารพัดที่จะทำให้ไม่ตรง เขวไป เพราะฉะนั้นทุกคำต้องมั่นคงขึ้น จึงจะฟังธรรมะและเริ่มเข้าใจ
แต่ละคำที่พระพุทธเจ้าตรัส ลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ เพราะเหตุว่าธรรมะหนึ่งขณะต้องมีหนึ่งเดียว ... ขณะเห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ ขณะได้ยินต้องไม่เห็น ถ้ามั่นคงอย่างนี้ขณะได้ยิน ... มืด เราอยู่ในโลกมืด ... สว่างขณะเห็นเท่านั้น!!!
ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ นี่คือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสในสามปิฎกพูดถึงสิ่งที่กำลังมีให้ไตร่ตรอง ไม่ใช่ให้เชื่อแต่ให้รู้ว่า ความจริงกำลังเป็นอย่างที่ได้ฟังไหม?
ธรรมะไม่ใช่เรื่องสำหรับฟังและจำ แต่เป็นเรื่องรู้ว่านี่ธรรมะ แข็งเป็นธรรมะ ทั้งหมดเป็นธรรมะตั้งแต่เกิดจนตาย ... แต่เพิ่งจะได้ยินได้ฟังว่าเป็นธรรมะ .. ไม่ใช่รู้มาก่อนที่จะได้ฟัง ... จึงรู้ว่าใครเป็นผู้ตรัสรู้ คำสอนของพระองค์ 45 พรรษาตรงทุกคำ!!!
ต้องไตร่ตรอง คำไหนถูก คำไหนผิดคำไหนจริง คำไหนไม่จริง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งแม้แต่คำว่า "ธรรมะ" ใครรู้ถ้าไม่แจงออกมาก็พูดตามว่า ธรรมะๆ สิ่งที่มีจริงๆ ... สิ่งที่มีจริงอะไรล่ะ? อยู่ไหนล่ะ? ต้องรู้ว่าสิ่งที่มีจริงคืออย่างไร ... เดี๋ยวนี้ก็มี!!! อะไรทั้งหมดจริงเป็นธรรมะ ต้องเริ่มตั้งแต่ตรงนี้!!! แต่ธรรมะมีเยอะมาก .. ธรรมะที่ดีเป็นกุศลก็มี ที่ไม่ดีเป็นอกุศลก็มี ที่ไม่ใช่ไม่ดีและดีก็มี สารพัด อย่างทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ