หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ทรงตั้งพระธรรมวินัย ไว้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ธรรมที่ทรงแสดงไว้ยังเป็นเช่นเดิม แต่ระดับสติปัญญา บารมี ความสนใจในธรรมของคน เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การตีความพระธรรมวินัย ตามความเข้าใจของตนเองเกิดขึ้น
ในยุคนี้ พระธรรมวินัย (ปริยัติ) ยังอยู่ครบพอที่จะมีพระอริยบุคคลเช่นพระโสดาบัน เป็นต้น แต่ไม่มีพระอรหันต์ ถึงพระธรรมจะมีพอที่จะให้บรรลุพระโสดาบันก็จริง แต่ก็มีน้อยลงทุกที เพราะบุคคลที่มีจักร ๔ เช่น สะสมบุญที่จะได้รับฟังน้อย ก็มีโอกาสน้อย หรือสะสมจนได้ยินพระธรรมที่ถูก ก็ยังเข้าใจผิด เพราะสะสมความเห็นผิดมา คือ อโยนิโสมนสิการ โดยไม่คบสัตบุรุษ คือไม่เชื่อฟังผู้แสดงพระสัทธรรม แต่เชื่อผู้แสดงอสัทธรรม เช่น มหาสติปัฏฐานสูตร ทรงแสดงไว้ดีแล้ว โดยแสดงไว้ถึง ๔ ปัฏฐาน เช่นกายานุปัสสนา ทรงแสดงให้สติเกิดได้ ในทุกการกระทำ ไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบทใดๆ เป็นกุศลอยู่หรืออกุศลอยู่ก็ตาม หรือ ขณะเจริญสมถะอยู่ไม่ว่าเป็น อานาปานสติ หรือกายคตาสติอยู่ ก็เพื่อให้สติปัฏฐานเกิดได้เป็นปรกติทุกเมื่อตามที่เกิดได้
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงมหาสติปัฏฐานให้เข้าใจง่ายถึงอย่างนี้แล้ว แต่ผู้ฟังในยุคนี้ไม่เคารพสัตบุรุษ ถึงแม้จะสะสมบุญจนได้วิบากคือได้ยินเสียงพระธรรมที่ถูก แต่ก็เห็นต่างจากสภาพธรรม ที่เป็นจริงว่า มหาสติปัฏฐานสูตร แสดงให้ไปทำสมาธิ หรือ สมถภาวนาให้สงบก่อน แล้วปัญญาจึงจะเกิดได้ บางท่านก็คิดว่าทรงแสดงให้รู้บัญญัติว่า ผม ขน เล็บ .. อาการ ๓๒ ในกายว่า เป็นปฏิกูล แล้วก็คิดเอาว่าผม.... ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี้คือความเสื่อมแห่งพระสัทธรรม เนื่องจากสติปัญญาของคนในยุคนี้ สะสมความเห็นถูกมีน้อยกว่า บุคคลที่เกิดในครั้งพุทธกาล ในเมื่อยุคนี้ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว สัตบุรุษก็มีน้อย บุคคลผู้เห็นผิดก็มีมาก
ฉะนั้น การเลือกฟังและศึกษาพระธรรมวินัย ก็ต้องระมัดระวังในการไตร่ตรอง ไม่ใช่ที่ใหน แต่ที่ตน คือเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรม เพราะการฟังที่ถูก เพื่อเข้าใจธรรมะ ธรรมะไม่ใช่ อย่างอื่น แต่ธรรมะ คือสิ่งมีจริง (ปรมัตถธรรมหรืออภิธรรม) ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ใดๆ เลย ที่บังคับโดยเราได้
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 320
ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
พระธรรมเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ควรยึดติดในตัวบุคคล ยิ่งไปกว่าพระธรรม ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะผู้นั้นมิใช่เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ