ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[ตอนที่ ๕] ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย
ในตอนนี้ เป็นวันที่พิเศษยิ่งอีกวันหนึ่ง ที่ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในหทัย
เนื่องจากเป็นวันที่ทางสมาคมมหาโพธิ์ แห่ง สารนาถ ประเทศอินเดีย
ได้จัดเป็นประเพณีขบวนแห่อย่างใหญ่โต อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประทับบนหลังช้าง
มีวงดุริยางค์บรรเลงนำ อย่างครึกครื้น มีสามเณรน้อยจากธิเบต ถือแตรธิเบตยาวน่าชม
เป่าเสียงดังสนั่นไปตามถนน วนรอบเมืองสารนาถ เป็นภาพที่งดงาม น่าประทับใจยิ่ง
สำหรับในปีนี้ เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองวาระสำคัญเป็นพิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา
เนื่องจาก เป็นวาระที่ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
โดยการนำของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ได้นำ "พระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต"
ซึ่งเป็นที่ครอบ ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่สร้างด้วยทองคำ เพชร และ พลอย
มีความงามวิจิตรตระการตา มาถวายไว้ ในวาระสำคัญของการเฉลิมฉลอง
การครบรอบ ๘๑ ปี ของการสร้างพระมูลคันธกุฎีวิหาร เมืองสารนาถ แห่งนี้ด้วย
ในขบวนแห่ดังกล่าว ทางสมาคมมหาโพธิ์ แห่ง ประเทศอินเดีย จึงได้กราบเรียนเชิญ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อเป็นเกียรติ ขึ้นนั่งบนรถม้า นำหน้าขบวนช้าง
ที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ แห่ไปตามถนน รอบเมืองสารนาถ อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ทางสมาคมมหาโพธิ์ ยังจัดรถม้าอีกหนึ่งคัน นำหน้ารถม้าของท่านอาจารย์
และ จัดช้างหนึ่งเชือก สำหรับพลตรี ดร.วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการของมูลนิธิฯ
และ อาจารย์พีรพล คล้ายณรงค์ ผู้ชึ่งตรากตรำทำงานอย่างหนักถึงหนึ่งปีเต็ม
เพื่อให้พระรัตนบุษยภาชน์มีความสวยงาม แข็งแรง อลังการ และ เสร็จทันในวาระนี้
โดยทั้งสองท่าน ได้รับเกียรติให้นั่งบนหลังช้าง ตามหลังช้างที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
ครั้งนี้จึงเป็นวาระที่พิเศษ เป็นขณะหนึ่งที่ซาบซึ้งในหทัยอย่างยิ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ทีเดียว
อนึ่ง ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องย้อนเหตุการณ์กลับไปในตอนต้นของเช้าวันนี้ นะครับ
ข้าพเจ้าพร้อมพี่แก้วตา เอนกพุฒิ และคณะบางส่วน ได้ออกเดินทางไปยังสารนาถแต่เช้า
เมื่อเดินทางไปถึง ก็พบกับภาพดังที่ท่านได้เห็น มีภาพของสามเณรน้อย ถือบาตร
เดินบิณฑบาตรแถวยาวดูน่าชม มีผู้คนมาเข้าแถวจากหน้าพระคันธกุฎี ยาวไปตามถนน
ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อรอที่จะเข้ากราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ภายในพระวิหาร
ซึ่งจุดหมายแรกของเราคือ ขอโอกาสเข้าไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ อีกครั้ง
ซึ่งก็เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่เราได้เห็นภาพบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่
ภายในพระรัตนบุษยภาชน์ฯ ที่ได้อัญเชิญมาตั้งแสดงไว้กลางพระวิหาร
ท่ามกลางการประดับประดาด้วยดอกไม้อย่างสวยสดงดงามยิ่งนั้น
เพราะในวันรุ่งขึ้น เมื่อเราได้มีโอกาสกลับมากราบลาเป็นครั้งสุดท้าย
ก็ไม่ได้เห็นภาพความงดงามของพระรัตนบุษยภาชน์ฯ กลางพระวิหารเช่นว่านี้อีกแล้ว
แต่แม้กระนั้น การได้กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ
ไม่ว่าจะประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ที่นั้น ย่อมมีความประเสริฐงดงามยิ่ง
ไม่มีที่ใดในโลก จะประเสริฐงดงามไปกว่า พร้อมกับ การกราบสักการะด้วยความเข้าใจ
ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระบริสุทธิคุณ
ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง พระองค์นั้น
ทั้งนี้ ด้วยความเมตตาของท่านพลตรี ดร.วีระ พลวัฒน์ ทำให้คณะน้อยๆ ของเรา
ได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการอีกครั้ง ในเช้าของวันนี้ เมื่อได้พบท่าน
ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า ทั้งท่าน และ อาจารย์พีรพล คล้ายณรงค์ ที่นอกจาก
จะต้องเดินทางมาจัด และ ประกอบ พระรัตนบุษยภาชน์ฯ ล่วงหน้า
พร้อมๆ กับคณะผู้จัดดอกไม้ที่ประดับประดาอย่างวิจิตร ที่ทุกท่านได้เห็นแล้ว
ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ท่านต้องอยู่กินนอนที่นี่ ตลอดระยะเวลานี้ เลยทีเดียว
ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของท่านทั้งสอง และ คณะของท่านผู้จัดดอกไม้
ที่บรรจงจัดได้อย่างสวยสดงดงาม วิจิตรตระการตา นั้นด้วยครับ
ของที่ทุกคนได้รับแจกจากการเข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ครับ
หลังกราบนมัสการเสร็จแล้ว คณะน้อยๆ ของเราได้นั่งดูผู้คน ที่เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ
ที่บันไดด้านข้างพระมูลคันธกุฎีวิหาร
ต่อจากนั้น พวกเราจึงได้ไปรวมตัวกัน เพื่อรอเวลาชมขบวนแห่ฯ ที่สมาคมมหาโพธิ์
ซึ่ง ณ ที่นั้น เมื่อท่านอาจารย์เดินทางมาถึงพร้อมกับสหายธรรมอีกจำนวนหนึ่ง
ระหว่างที่รอเวลาเข้าขบวนแห่ฯ นั้น ท่านอาจารย์ซึ่งไม่เคยปล่อยเวลาว่างให้เสียไป
โดยเปล่าประโยชน์เลย ท่านได้มีเมตตา ให้ทุกคนแนะนำตัวกับสหายธรรม
ซึ่งการแนะนำตัวของทุกท่าน ก็ได้กล่าวถึงอดีต ที่กว่าจะได้มาพบกับท่านอาจารย์
และ ความปีติของการได้พบพระธรรมที่ถูกต้อง รวมถึงความประทับใจต่างๆ
ระหว่างที่ฟังทุกๆ ท่านเล่าเรื่องแห่งความปีติต่างๆ ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสหายธรรม
สูดจมูก เหมือนคนเป็นหวัด เป็นระยะๆ ในห้องซึ่งเงียบสนิท มีเพียงความปีติของทุกคน
ที่ล่วงออกมาทางสีหน้า แววตา และ ล้นเอ่อ ออกมา ด้วยความประทับใจ
ในความรู้สึกอนุโมทนาไปกับหนทางอันหลากหลายของ สหายธรรม
ที่กว่าจะได้มาพบกับเสียงของพระธรรม และ บากบั่นที่จะได้มากราบเท้าท่านอาจารย์
สักครั้งหนึ่ง ในชีวิต หลังจากที่ได้เริ่มเข้าใจธรรมะขึ้นบ้างแล้ว
เป็น กาลเวลาแห่งความปีติ ณ กาลครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นของทุกๆ คนอย่างยิ่ง
"... หนูไม่ทราบว่า ที่เวลาฟังพระสูตร หรือเรื่องที่ท่านพระอานนท์ ไม่ทูลขอพระพุทธเจ้า
แต่หนูอยากขอ ขอให้ท่านอาจารย์ ได้อยู่เป็นมิ่งขวัญ เป็นกำลังใจ
เป็นกำลังที่เผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้หนู และ กัลยาณมิตรทุกท่านได้นานๆ แสนนาน
ถึงหนูจะตายก่อน หนูก็ไม่ว่า หนูขอ อยากให้ท่านอาจารย์ อยู่ไปนานๆ
เพราะท่านอาจารย์ มีประโยชน์กว่าหนู กว่าชีวิตหนูมาก คิดได้แค่อย่างนั้น
แต่ว่า ไม่เคยพูดออกมา แต่มีความรู้สึกว่า อยากจะทอนชีวิตตัวเองไปสักสิบปีก็ได้
ขอให้ท่านอาจารย์ได้อยู่เถิด เพราะชีวิตท่านอาจารย์ มีค่ามาก ..."
"... กราบท่านอาจารย์ค่ะ อย่างที่ลูกว่าเมื่อกี้ทั้งสองคนน่ะค่ะ เคยฟังเสียงท่านอาจารย์
ตั้งแต่สมัยที่ยังเล็กๆ อยู่ค่ะ สมัยนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ฟังธรรมะจากท่านอาจารย์
ก็ได้ยินแต่ว่า เป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่คุณพ่อบอกว่า ธรรมะของผู้หญิงคนนี้ ตรงจริงๆ
คุณพ่อเข้าวัดตั้งแต่ท่านยังหนุ่มๆ คุณพ่อเป็นผู้พิพากษา เคยตัดสินคดีต่างๆ
แล้วก็รู้สึกเหมือน เคยทำอะไรผิดๆ ไป ก็เลยเข้าวัดตั้งแต่นั้นมา คุณพ่อก็ฟังแล้วก็
ศึกษาอภิธรรม
แล้วต่อๆ มาก็ฟังไปหลายๆ อาจารย์ จนมาเจอท่านอาจารย์ คุณพ่อก็ติดตรงนี้
คุณพ่อก็บอกคุณแม่ว่า ธรรมะของอาจารย์คนนี้ ใช่ ตรง คุณแม่ก็เลยหันมาสนใจฟัง
พอคุณแม่มีเวลา ก็ได้ไปฟังที่วัดบวรฯ นานมากเลย ตั้งแต่หลายปี
ก็ได้แต่เพียงไปส่งคุณแม่ แล้วก็ไม่ได้ฟัง มีอยู่วันหนึ่ง ไปส่งเสร็จแล้วก็นั่งฟัง
ฟังเท่าไหร่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่นั้น ไม่มีเวลา เพราะมีครอบครัวกับลูกต้องดูแล
คุณแม่ชวนทีไรก็จะอ้างว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลา ต้องดูแลอันโน้น อันนี้ ไม่ยอม ไม่หันมาฟัง
ก็ดูแลคุณแม่ จนคุณแม่เสีย ก็รู้สึกเหงา ก็เริ่มออกไปวัดต่างๆ ที่ใครเขาไปกัน
ซึ่งเข้าใจว่าตรงนั้นใช่ เพราะว่าคนโน้นก็ชวน คนนี้ก็ชวน ก็ไปได้ง่าย
ก็ยอมรับว่าหลงทางมากเลย ไปเจออาจารย์หลายๆ อาจารย์ ที่เราไปเราก็หลงตัวว่า
ตรงนี้ใช่ ตัวเองดีกว่าคนอื่น เราเป็นคนอย่างนั้น เป็นคนอย่างนี้ เป็นคนดีๆ ทั้งนั้นเลย
แล้วเราก็ชอบเทียบว่า เราทำถูก ก็เริ่มหลงทางไปทางนั้นเยอะ
จนวันหนึ่ง มีงานชุมนุมรุ่นของสามี บังเอิญว่าน้องของท่านอาจารย์น่ะค่ะ ก็ไปงาน
ชุมนุมรุ่น
เขาก็คุยกันในวง บนโต๊ะอาหารว่า เขาจะไปอินเดีย ก็เลยถามว่าจะไปกับใคร?
บอกว่าไปกับพี่สาว ก็ถามว่าพี่สาวของพี่น่ะใคร? บอกว่าอาจารย์สุจินต์
โอ ... ดีใจมาก บอกว่าอยากฟังท่านอาจารย์สุจินต์บ้าง ...
... จน พ.ศ.๒๕๔๘ มีเวลาเต็มที่เลย ก็ได้เริ่มต้นฟัง ก็แทบจะไม่มีเวลาได้หยุดเลย
ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ จะได้ไป (มูลนิธิฯ) ทุกวัน และ การที่ได้รับฟังตั้งแต่นั้นมา
เรื่องราวต่างๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ เทียบกันได้เลยว่า ที่เดินไปก่อนๆ นี้
เดินทางผิดมากเลย แล้วก็ไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เราฟังมา รู้สึกว่าเข้าใจขึ้น
แล้วก็ยอมรับว่า เราก็ไม่ดี เมื่อก่อนเราคิดว่าเราดี แต่เดี๋ยวนี้ เรายอมรับว่าเราไม่ดีเลย
แล้วก็ปัญหาต่างๆ อะไรต่างๆ รู้สึกดีขึ้น แล้วก็เริ่มฟังเข้าใจขึ้น เรื่อยๆ
แล้วก็ตั้งใจว่า ขอให้ได้มีโอกาส และ มีเวลาได้ฟังท่านอาจารย์ต่อไป
อันนี้ก็เป็นความตั้งใจที่จะฟังท่านอาจารย์ต่อไปค่ะ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ..."
ท่านอาจารย์ วันนี้ ก็เป็นโอกาสที่หายาก
แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ในสังสารวัฏฏ์
คือ เราได้มีโอกาส ได้พบกัน ได้รู้จักทุกคน ในครอบครัวธรรมะ แล้วก็ได้ฟังธรรมะด้วย
ผู้ที่ได้ฟังธรรมะมานาน ก็มีความเข้าใจ ซึ่งทำให้อนุโมทนา ในบุญกุศลของท่าน
ที่ทุกคน ได้มีโอกาสมาที่นี่
อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า กุศลครั้งนี้ ก็เป็นกุศล ซึ่งคงจะเกิดเพียงครั้งเดียว
ที่ได้มีโอกาส ได้ถวายที่ครอบ หรือว่า ที่ประดิษฐาน
ก็ด้วยความพร้อมใจของทุกคนจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะคนหนึ่ง คนใด ที่ทำให้วันนี้สำเร็จด้วยดี
ที่จะทำให้ทุกคนปลาบปลื้มมาก ตั้งแต่เราเริ่มได้รับอนุญาติ ที่จะให้สร้างที่ประดิษฐาน
ที่ครอบที่ประดิษฐานเดิม จากสมัยพระเจ้าอโศก และ สมัยของท่านธรรมปาละ
และ สำหรับองค์นี้ ก็คงจะเป็นสุดท้ายแล้ว เพราะคงจะไม่มีใครมาทำครอบได้อีก
เป็นขนาดด้วย อะไรด้วย นะคะ
แล้วก็คงจะยั่งยืนต่อไป
จนถึงกาละที่พระศาสนาอันตรธาน ซึ่งก็อีกไม่นาน สองพันห้าร้อยกว่าปี
ทั้งนี้ ทุกคนได้มีส่วนร่วม ขาดใครสักคนหนึ่ง ก็ไม่ได้
ตั้งแต่เราได้เริ่มรับคำอนุมัติให้สร้าง คุณวีระ คุณพีรพล ทุ่มเททั้งหมด ที่จะทำ
เต็มความสามารถ เรียกว่า ทั้งชีวิต คุณพีรพลแล้วก็คุณวีระ ก็คงจะไม่มีเรื่องอื่นเลย
ตั้งแต่ได้รับหน้าที่ ที่จะทำ ให้ทำงานชิ้นนี้ อันนี้
ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ได้มีใครมอบหมาย
แต่ เป็นพระธรรม
อันนี้ ก็เป็นสิ่งที่ ใครก็ฝืนไม่ได้ สร้างไม่ได้
ว่าชีวิตของใครแต่ละคน จะเกิดมา เพื่ออะไร และ ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์
โดยเฉพาะ นอกจากประโยชน์ตน ก็ยังประโยชน์ แก่พระศาสนา
ด้วยการศึกษา ด้วยความนอบน้อม ที่จะให้มีความเข้าใจจริงๆ
ซึ่งสิ่งนี้สิ่งเดียว ที่จะดำรงพระศาสนาได้
สิ่งอื่น ไม่สามารถจะดำรงพระธรรมได้เลย ไม่ว่าจะเป็น วัตถุที่มีค่าสักเท่าไหร่ก็ตาม
ทั้งหมด พระธรรม อยู่ที่ความเข้าใจ และ การประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมด้วย
อันนี้ ก็เป็นสิ่งซึ่งมีค่า เหนือสิ่งอื่นใด
เพราะเหตุว่า ทุกคนที่ได้ฟังธรรม ก็เริ่มรู้สภาพธรรมะ
ที่เคยเข้าใจว่า "เป็นเรา" แต่ความจริงก็ "เป็นธรรมะ"
ซึ่งมีทั้งฝ่ายดี กุศลธรรม และ ทางฝ่ายที่ เป็นอกุศลธรรม
แต่ทางฝ่ายอกุศลธรรม ต้องมากกว่าแน่นอน เพราะเหตุว่า คุ้นเคยมานานแสนนาน
ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม
แต่ความเข้าใจพระธรรม ก็ยังสามารถที่จะทำให้ อกุศลนั้น เบาบางลงไปได้
จนกว่าจะสะสม ถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ด้วยบารมี
ซึ่งยังไม่พอ เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ ก็ต้องสะสม ขาดบารมีคือคุณความดี ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ ทุกคนฟังแล้ว ความเข้าใจพระธรรม เพิ่มขึ้น
ก็จะทำให้ ค่อยๆ ละคลาย อกุศลลงไปได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ก็เป็นผู้ที่ได้ประพฤติ ปฏิบัติตามคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
จนถึงความเป็นผู้ที่รู้แจ้ง ในสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้
ก็ต้องฟัง อดทน แล้วก็เห็นประโยชน์จริงๆ ต่อไป
เพราะเหตุว่า ยาก แล้วก็ ลึกซึ้งมาก ค่ะ
แต่ความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย
วันหนึ่ง ก็สามารถที่จะเต็ม สมบูรณ์ ที่จะถึงความที่จะรู้แจ้ง อริยสัจจธรรมได้
ก็ขออนุโมทนา ในกุศลของทุกท่าน นะคะ
ขาดใครสักคน ก็ไม่ได้ ทุกคนร่วมใจกัน
ผู้ที่ฟังธรรมะทั้งหมด มีส่วนที่จะดำรงพระศาสนา
ตอนนี้ก็สนทนาธรรม นะคะ แล้วแต่ ใครมีข้อสงสัยอะไร คนที่ไม่ค่อยมีโอกาสไปมูลนิธิฯ
แต่ก็ฟังทางวิทยุ ก็จะเห็นความต่าง ของการที่เวลาที่เราฟังเอง เราคิดเอง
กับการที่เราได้มีโอกาส ได้ฟัง ได้สอบถาม จนกระทั่ง หมดความสงสัย
ก็จะดีกว่า การที่ฟังไป สงสัยไป แล้วก็ไม่ได้สนทนากัน
ความสงสัยจะค่อยๆ ลดลง เมื่อเราได้ปรึกษาหารือกัน แล้วก็ฟัง แล้วก็พิจารณา
แต่จะหมดสงสัยจริงๆ ไม่เกิดอีกเลย เมื่อไหร่? ทราบมั้ยคะ?
โสตาปัตติมรรคจิตเกิด
ไม่อย่างนั้น ความสงสัยในธรรมะต้องมี เพราะเหตุว่า เพียงได้ยินได้ฟังก็น่าคิดแล้วว่า
ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ก็ต้องสงสัยว่า จะเป็นไปได้หรือ?
อย่างคนหนึ่งก็ถามว่า ก็ต้นไม้ทั้งต้นอย่างนี้ แล้วก็จะดับไปได้อย่างไร?
แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้เข้าใจ ว่าต้นไม้ที่เห็นนี้
ความจริง คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง เป็นความจริง ที่ปกปิดด้วยอวิชชา และ โลภะ
เพราะเหตุว่า แม้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ สำหรับปัญญาที่รู้แจ้ง
แต่สำหรับอวิชชา ความไม่รู้ ก็ตรงกันข้าม คือ เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
คือ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง แต่เข้าใจว่าเที่ยง เข้าใจว่า เป็นสุข
แล้วก็เข้าใจว่า มีตัวตน หรือ เป็นเรา หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ที่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้
แต่ความจริง ธรรมะ น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
เพราะแม้ปรากฏ อวิชชาก็ไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้
ว่าต้องมีปัจจัย ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งใคร ก็ไม่สามารถที่จะไปบันดาลให้เกิดได้เลย
แต่เมื่อมีปัจจัย ที่ธรรมะอย่างหนึ่งอย่างใดจะเกิดขึ้น ธรรมะนั้น ก็เกิดขึ้น
สั้นมาก ชั่วคราวมาก แล้วก็หมดไปอย่างรวดเร็ว
นี่ก็เป็นการที่จะต้องฟังพระธรรม จนกว่าหายสงสัย
ว่าขณะนี้ ที่กล่าวว่า เห็นอะไร?
คำตอบ สำหรับผู้ที่ฟังแล้ว แต่ยังไม่ได้รู้จริงๆ ก็ตอบว่า
"เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"
จากที่เคยคิดว่า เห็น "คน" เห็น "โต๊ะ" เห็น "เก้าอี้"
ก็เริ่มเข้าใจว่า เฉพาะ "เห็น" เท่านั้น จะเห็น เป็นโต๊ะ เป็นคน ไปได้อย่างไร?
เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพียงชั่วขณะหนึ่ง
ลองคิดดูสิคะ ชั่วขณะเดียวที่ลืมตา แล้วมีเห็น ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
สั้นมาก แล้วก็หมดไป
นี่คือ วาจาสัจจะ ที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งความจริง เป็น อริยสัจจะ
แต่ต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมาก แล้วก็เป็นผู้ตรง
ขณะนี้ ยังไม่เป็นอย่างนั้นเลย ก็เห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เหมือนเดิม
แต่ "เริ่มมีความเข้าใจถูก"
ลองคิดดู หลับตาแล้วไม่เห็น
หลับตาแล้วไม่เห็น "คน" หรือว่า ไม่เห็น "เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"
เนี่ยค่ะ เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ
จนถึงความจริง ที่มั่นคงขึ้น จึงสามารถที่จะ ละคลายความติดข้อง
ถ้ายังไม่ละคลายความติดข้อง
จะประจักษ์ความจริง ของสภาพธรรมะ ไม่ได้เลย
ไม่มีหนทางที่จะประจักษ์ การเกิดดับ ของสภาพธรรมะ
ซึ่งเกิดจริงๆ แล้วก็ดับจริงๆ อยู่ทุกขณะ
ก็เป็นเรื่องที่ ฟังไปอีก ฟังไปอีก ฟังไปอีก เรื่อยๆ
เพื่อละความไม่รู้
ข้อความในพระไตรปิฎก มีว่า "เพื่อปัญญาปรากฏ"
ขณะนี้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ไม่ใช่ปัญญา "เสียง" ก็ไม่ใช่ปัญญา "คิด" ก็ไม่ใช่
ปัญญา
แต่ "ความเข้าใจ" ทีละเล็ก ทีละน้อย ในสิ่งที่มีจริง
จนกว่า ปัญญาปรากฏ
เพราะว่า ปัญญาเกิด แล้วปัญญารู้ อวิชชาเกิด แล้วอวิชชาไม่รู้
เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญาเกิดแล้ว ที่จะสงสัย ในขณะนั้น เป็นไปไม่ได้
แต่ว่า ยังไม่สามารถที่จะดับ ความสงสัย ในสังสารวัฏฏ์ยาวนาน ที่สะสมมา
แม้แต่ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา พูดตามไม่ยากเลย
เห็นอะไร? เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
พิสูจน์ได้ทันที
หลับตา ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
แต่กว่าจะถึงความมั่นคง ว่าเป็นอย่างนี้ แค่นี้จริงๆ จากการที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ก็ต้องอาศัย การที่จะฟังแล้ว ฟังอีก
และ เมื่อไหร่ที่ฟังแล้ว ไม่ลืม ก็จะมีการ ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า
แค่ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ละคลาย "ความติดข้อง" ลงไปบ้างไม๊คะ?
เมื่อเข้าใจความจริงว่า แค่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ก็หลงติดข้อง นานแสนนาน
เพราะเหตุว่า ปัญญาไม่พอ ที่จะประจักษ์ความจริง ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่วันหนึ่ง ปัญญา ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ฟังมาหลายครั้ง ก็จะเกิดเข้าใจ
โดยที่ว่า จะเห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ หรือแม้ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ
ที่ท่านสะสมบารมีมาแล้ว ท่านก็ไม่ได้คิดมาก่อนเลย
ว่าท่านจะได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ฟังพระธรรม
ได้รู้แจ้งความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง
ไม่ผิดกันเลย
ความจริง ต้องเป็นความจริงอย่างนั้น
แต่ว่า ถ้าอ่านประวัติของแต่ละท่าน นานแสนนาน แสนกัปป์ก็มี
กัปป์นี้ ไม่ใช่วันเดียว เดือนเดียว ปีเดียว ชาติเดียว
เพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งนั้นมีจริง เช่น เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
หลับตาก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ ต้องถูกต้องแน่นอน
จะเปลี่ยนได้ไหม?
ว่าแม้หลับตา สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนั้น ก็ยังปรากฏ เหมือนเดิม
เป็นไปไม่ได้เลย
แต่ว่า ความรวดเร็วของสิ่งที่เกิดดับ มากมายมหาศาล
จนทำให้ลวง เหมือนกับว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง และ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เต็มโลกไปหมดเลย
เพราะฉะนั้น โลกของความไม่รู้ความจริง
เมื่อไหร่ที่ยังคงไม่เข้าใจ สภาพธรรมะ ที่ปรากฏเพียงชั่วคราว
ก็จะต้องเป็นอย่างนี้
และ จะต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน
แต่ว่า โอกาสที่ได้ยินได้ฟังแล้ว
ความเข้าใจ ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ไม่ใช่อยากจะละเสียวันนี้เลย ไม่มีตัวตนเสียวันนี้เลย
เห็นการเกิดดับ ของสภาพธรรมที่ปรากฏเพียงชั่วคราวเสียวันนี้เลย
เป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อเป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนครั้งที่ท่านสุเมธดาบส ได้รับคำพยากรณ์
จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร
หลังจากที่ท่าน มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ลองคิดดู ท่านเคยได้ฟังพระธรรมมาแล้ว
ได้ยิน ได้ฟัง เริ่มเห็น กับสิ่งที่ปรากฏทางตา และ ความตั้งใจแน่วแน่ว่า
จะค่อยๆ เข้าใจ ความจริงนี้
เพราะเหตุว่า ความจริงนี้ สามารถที่จะเข้าใจถูกได้
เมื่อมั่นคงแล้ว ได้มีโอกาสเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใด
แล้วความมั่นคงนั้น ถึงเวลาที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นรู้ว่า
บุคคลนี้ เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระมหาโพธิสัตว์
จะได้ตรัสรู้ความจริงนี้ เมื่อไหร่
เพราะฉะนั้น สุเมธดาบส ก็ได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร
ว่าอีกสี่อสงไขยแสนกัปป์
คอยได้มั้ยคะ?
ยังไงก็ต้องคอย
เพราะเหตุว่า ถ้าไม่คอย ก็ไม่มีวันที่จะรู้ความจริงเลย
เพราะฉะนั้น คอยอะไรจะมีประโยชน์ ใช่มั้ยคะ?
หวัง ... คอย ... สิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งไม่มีประโยชน์เลย เพราะเหตุว่า เพียงชั่วคราว
แล้วก็ต้องจากสิ่งนั้นไป
แต่ว่า การคอยการที่จะเข้าใจความจริง
แม้นาน ... ก็เป็นประโยชน์
แล้วก็มีความมั่นคง ที่จะคอย เพราะเหตุว่า เป็นบารมี
การที่จะรู้ความจริง ยาก
ไม่ว่าความจริงใดๆ ทั้งสิ้น
ได้ยิน ได้ฟังมาก็เยอะ แต่ความจริงมีแค่ไหน?
นั่นคือเรื่องของทั่วๆ ไป
ถ้ายิ่งเป็นความจริงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ได้ยินได้ฟังอย่างนี้
และ รู้ว่า ความจริงนั้น สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้
แต่ว่า ไม่ได้เร็วอย่างที่คิด เลย
เพราะว่าทุกคนตอบเอง ไม่ใช่ว่าต้องไปถามใคร
ว่าอีกนานเท่าไหร่? และ จะเข้าใจขึ้นอีก เมื่อไหร่?
แต่จากการฟัง จะเห็นได้ว่า
ฟังแล้ว ฟังอีก
การฟังครั้งแรกๆ กับการฟังครั้งหลังๆ ก็ต้องต่างกันแล้ว
เพราะฉะนั้น จะขาดการฟังไม่ได้
เพราะเหตุว่า จะบำเพ็ญบารมี แต่ก็เพียง "สาวกโพธิสัตว์" หรือว่า "สาวกบารมี"
ที่ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วก็ได้สะสม
อาจจะเจอพระพุทธเจ้าอีกหลายพระองค์ ก็ได้
พร้อมหรือยัง?
สำหรับที่จะได้ฟังพระธรรม แล้วก็ เข้าใจทันที
แล้วก็ละคลายความติดข้อง
จนสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย ถึงสิ่งที่สะสมมา
สิ่งที่ปรากฏแต่ละวัน ที่รู้ เล็กน้อยมาก
เมื่อเทียบกับ สิ่งที่ได้สะสมอยู่
คำพูด ทางวาจา ที่กล่าวออกไป แต่ละคำ
หรือ การเคลื่อนไหวของกาย แต่ละขณะ ก็ส่องไปถึง การสะสม ในอดีต
ว่าสะสม ที่จะเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรง
เป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล แล้วก็คิดที่จะละอกุศล
เพราะเหตุว่า ถ้าพูดถึงนิพพานจริงๆ ไม่ต้องใช้คำที่จะต้องแปลหรืออะไรเลย
ก็หมายถึง วันที่สามารถที่จะดับกิเลสได้
เมื่อได้รู้แจ้ง สภาพธรรมะ ที่ไม่เป็นที่ติดข้องของโลภะ
เพราะเหตุว่า ไม่ได้เกิดขึ้นให้เป็นที่พอใจ
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถึงว่า เป็นเรื่องของการดับกิเลส
แต่กว่าจะดับได้ ก็คือว่า เห็นโทษ
แล้ววันนี้ กิเลสเกิดเมื่อไหร่? และ ไม่เกิดขึ้นเมื่อไหร่?
"ปัญญา" ก็สามารถที่จะรู้ได้
ขณะที่ฟังธรรมะเข้าใจ กิเลส เกิดไม่ได้เลย
แต่ขณะใดก็ตาม ที่ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง เร็วไม๊คะ? กิเลส เร็วมาก แล้วก็เพิ่มด้วย
เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลยว่า ความดี แม้เพียงเล็กน้อย
ขณะนั้น เกิดแทนอกุศล
ซึ่งถ้าความดีไม่เกิด อกุศลก็เกิด
เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ที่จะฟังพระธรรม เพื่อละกิเลส
ยากมาก นะคะ แต่ก็ละได้ ด้วยปัญญา เท่านั้น
ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา หรือ ทำอย่างอื่น
อนึ่ง เมื่อข้าพเจ้า ได้เรียบเรียงภาพและความธรรมะเพื่อลงกระทู้เพื่อแบ่งปันทุกท่านนี้
ทำให้ข้าพเจ้าได้หวนระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอีกครั้ง ด้วยความปีติอย่างยิ่ง
และ เมื่อได้เรียงลำดับภาพมาจนถึงขณะสุดท้ายนี้
ข้าพเจ้าได้ระลึก ถึงความอ่อนน้อมอย่างยิ่งของท่านอาจารย์
ต่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งท่านอาจารย์ได้ปฏิบัติ
ด้วยความเคารพนอบน้อม อย่างสูงสุด เสมือนหนึ่งได้เข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์
โดยภายหลังได้รับเกียรติ ให้นั่งรถม้า นำขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุรอบเมือง เสร็จแล้ว
ท่านก็ลงจากรถม้า มายืนคอย ณ บริเวณทางเข้าพระวิหาร เพื่อรอรับและส่งเสด็จ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กลับคืนสู่ที่ประทับภายในพระวิหาร
ก่อนจะได้กราบถวายบังคมลา
เป็นภาพของ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่จะซาบซึ้ง ตราตรึงอยู่ในหทัย ของข้าพเจ้า
ไม่รู้ลืมเลือน ไปตราบเท่ากาลนาน
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
.........
ตอนต่อไป [ตอนที่ ๖] กราบพระรัตนตรัย ใจชื่นบาน
เป็นตอนจบ นะครับ
อนึ่ง ท่านสามารถคลิกอ่าน ทั้งสี่ตอนที่แล้ว ได้ที่นี่ครับ
[ตอนที่ ๑] แทบพระบาท พระศาสดา
[ตอนที่ ๒] หลากศรัทธา ในตถาคต
[ตอนที่ ๓] งามหมดจด พระรัตนบุษยภาชน์ฯ
[ตอนที่ ๔] สนทนาธรรมตามโอกาส วาระสมัย
"ท่านอาจารย์ วันนี้ ก็เป็นโอกาสที่หายาก
แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วในสังสารวัฏฏ์
คือ เราได้มีโอกาส ได้พบกัน
ได้รู้จักทุกคนในครอบครัวธรรมะ
แล้วก็ได้ฟังธรรมะด้วย
ผู้ที่ได้ฟังธรรมะมานาน ก็มีความเข้าใจ
ซึ่งทำให้อนุโมทนา ในบุญกุศลของท่าน
ที่ทุกคน ได้มีโอกาสมาที่นี่
อีกอย่างหนึ่งก็คือว่ากุศลครั้งนี้
ก็เป็นกุศลซึ่งคงจะเกิดเพียงครั้งเดียว
ที่ได้มีโอกาส ได้ถวายที่ครอบ หรือว่า ที่ประดิษฐาน"
...............
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยครับ
และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยและทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
การมีโอกาสได้ฟังธรรมและสนทนาธรรม กับท่านอาจารย์ อจ.วิทยากร และ กัลยาณมิตร
หลายๆ ท่าน ตลอดการเดินทาง เป็นการเพิ่มอาวุธทางปัญญาที่ดีแก่ข้าพเจ้า การเดินทาง
ยังอีกยาวไกล การมีอาวุธ และ เสบียงที่ดี จะทำให้เราเดินทางได้ราบรื่นขึ้น
ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่มีความตั้งใจดี และ ขออนุโมทนาทุกท่านและคุณวันชัย
ด้วยค่ะ ภาพสวยมากค่ะ
ภาพและธรรมะซาบซึ้งใจมากครับ กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ถ้ายังไม่ละคลายความติดข้อง
จะประจักษ์ความจริง ของสภาพธรรมะ ไม่ได้เลย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"...เป็นเรื่องที่ ทุกคนฟังแล้ว ความเข้าใจพระธรรม เพิ่มขึ้น
ก็จะทำให้ ค่อยๆ ละคลาย อกุศลลงไปได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ก็เป็นผู้ที่ได้ประพฤติ ปฏิบัติตามคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
จนถึงความเป็นผู้ที่รู้แจ้ง ในสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้
ก็ต้องฟัง อดทน แล้วก็เห็นประโยชน์จริงๆ ต่อไป
เพราะเหตุว่า ยาก แล้วก็ ลึกซึ้งมาก..."
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ...
จาก ภาพ รู้สึกเป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูกครับผมจะติดตามอ่าน และขออนุโมทนาครับ
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอกราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ