รู้สึกท้อแท้ และรู้สึกอิจฉา คนที่นำความคิดเราไปทำงาน ได้ดีกว่า ทำให้ทุกข์ใจเบื่อการทำการงานที่มีการแข่งขันสูง และลอกไอเดียกันประจำ
อยากขอบ้านธัมมะ ช่วยบอกข้อธรรมให้คิดได้ทีค่ะ
เบื้องต้น ผมขอเรียนว่า ความท้อแท้ ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย เพราะเป็นอกุศลธรรมไม่ควรอิจฉา หรือ ริษยาใครๆ ควรยินดีเมื่อผู้อื่น ได้ดีมีสุข เพราะการได้ดีของเขานั่นคือผลของบุญที่เขาทำมา เราควรหมั่นสะสม คุณความดี ควรเป็นผู้ขยันในหน้าที่การงาน เพราะผู้หมั่นขยัน ย่อมประสบความสำเร็จได้ ควรเป็นผู้หมั่นฟังพระสัทธรรมเนื่องๆ การฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา ปัญญาเป็นรัตนของคน
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่... หดหู่ เหงา ท้อแท้
ขออนุโมทนาค่ะ
ความรู้สึกที่ท้อแท้เป็นอกุศล เป็นโทสะ ถ้าคิดเป็นก็จะไม่อิจฉาใคร เพราะรู้ว่าอกุศล
ไม่ดี ควรขัดเกลา ควรอบรมเจริญเมตตา และเมตตาทำให้เราและคนอื่นมีความสุขค่ะ
เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น คือการฟังธรรม การคบบัณฑิต การไม่ประมาทในกุศล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ละบุคคล มีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน ตามการสะสม มีการกระทำทางกาย ทางวาจาและมีจิตใจที่แตกต่างกันออกไป ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นธรรมดา ถ้าเป็นผู้เพ่งโทษ ใส่ใจในความประพฤติไม่ดีของผู้อื่นอยู่เสมอ โดยที่ไม่ได้สำรวจจิตใจของตนเองเลย นั่นย่อมเป็นเหตุให้อกุศลของตนเอง เพิ่มขึ้น พอกพูนมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลยและที่สำคัญ ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ไม่มีผู้ใดที่ไม่มีความไม่ดี ล้วนมีความไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ตัวเราก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น ควรที่จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด พร้อมทั้งมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะเหตุว่า ความไม่ดี ที่มีมาก ไม่มีอะไรที่จะมาเป็นเครื่องดับ เป็นเครื่องทำลายได้ นอกจากอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้น (ปัญญา ไม่ทำให้หดหู่ปัญญา ไม่ทำให้ท้อแท้) ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กุศลที่เขาสะสมมาดีให้ผลเป็นกุศลวิบาก
ดิฉันเองก็คิดค่ะ...คิดว่า...ก็เราไม่ได้สะสมกุศลไว้เอง หงุดหงิดไปก็เท่านั้น
ทำงานแต่ละวันด้วยความซื่อตรงต่อหน้าที่ให้ดีที่สุดจะดีกว่า...แล้วก็...
เป็นประโยชน์กับตนมากกว่าการมานั่งคอยคิดเรื่องคนนั้นไม่ดี คนนี้เอาเปรียบเรา
การอิจฉาเขา คนที่แย่และอาการหนักแน่ๆ (และไม่ใช่แค่ชาตินี้) ก็เรานี่แหละค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
รู้สึกท้อแท้ และรู้สึกอิจฉา...นั้นเป็นกิเลสที่อยู่ภายในของเราเอง เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม อกุศลจิตก็เกิดซึ่งให้ผลเป็นโทษ กิเลส คือ โรค โรคซึ่งรักษาหายได้ด้วยพระธรรมเท่านั้น
เชิญคลิกอ่านได้ที่...
ธรรมจับใจจากอินเดีย...27 ตค 2552 - 3 พย 2552 [1]
ธรรมจับใจจากอินเดีย... 27 ตค 2552 - 3 พย 2552 [2]
ธรรมจับใจจากอินเดีย...27 ตค 2552 - 3 พย 2552 [3]
ธรรมจับใจจากอินเดีย...27 ตค 2552 - 3 พย 2552 [4] จบ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากเลยที่จะขัดเกลากิเลสตนเอง ถ้าไม่ได้สนใจธรรมะเลย คงหนักกว่านี้ วันก่อนก็เจอเรื่องให้ไม่พอใจอีกแล้ว ที่มีคนโพสต่อว่าในกระทู้ให้เสียหายทั้งๆ ที่เขาเข้าใจผิดและกำลังกล่าวหา ทำให้เห็นว่า ในสังคม คำพูดของคนดังมีน้ำหนักมากกว่า ช่วงนี้รู้สึกเป็นโทสะง่ายมาก แต่โชคดีที่ยังนึกถึงบ้านธัมมะ ขอบคุณค่ะที่เผยแพร่ทางที่ถูก
ปัญหาเกิดจากเรา ก็ต้องแก้ที่เรา , ปัญหาเกิดจากคนอื่น ก็ต้องแก้ที่เรา เช่นกันครับ
ถ้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็คือต้องเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ครับ
อนุโมทนาครับ
ดิฉันก็เคยประสบปัญหาแบบเดียวกับคุณมาแล้ว คืองานเราทำเหนื่อยเกือบตาย แทบไม่
ได้พักเลย แต่พอผลงานกับไปตกอยู่ที่คนอื่น ดิฉันทำใจได้ค่ะ เพราะการฟังธรรมทำให้
เข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นกับเรา เพราะเป็นผลของกรรมที่เราทำไว้ ทำไมต้องเป็น
เรา ทำไมไม่เป็นคนอื่น เพราะต้องเป็นเรา ดิฉันจำคำบรรยายของท่านอาจารย์ได้ขึ้นใจ
เลย ดิฉันจึงไม่ทุกข์ใจค่ะ ก็ทำงานตามหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ส่วนผลจะออกมาอย่าง
ไร เราต้องยอมรับตามความเป็นจริง และร่วมอนุโมทนาไปกับผลบุญของคนอื่น ซึ่งเป็น
เรื่องที่ทำได้ยากมากๆ ๆ ถ้ายังไม่เข้าใจธรรมะ การฟังธรรมจะช่วยให้ละคลายความทุกข์
ได้ค่ะ
ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดคือ ตัวเราเอง
โทษคนอื่นเห็นง่าย โทษของตัวเองเห็นยากยิ่ง
พึงสำรวจตัวเองให้มากๆ แล้วอุปสรรคคือความท้อแท้จะหายไป
เช่น ถ้าเราไม่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นของของเรา สิ่งใดสิ่งนั้นก็ไม่เป็นของของคนอื่น
เพราะไม่มีเราจึงก็ไม่มีคนอื่น . แม้กระทั้งสิ่งสิ่งนั้นก็ไม่ได้จีรัง เกิดเพราะสถานการณ์หนึ่ง
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน สิ่งนั้นๆ ก็เปลี่ยน ไม่มีใครครอบครองเป็นเจ้าของได้ เป็น
ต้น............ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือองค์ธรรมสำหรับดำเนินชีวิตให้เป็นทุกข์
น้อยที่สุด)
ขอเป็นอีกหนึ่งคน ที่ขอส่งกำลังใจให้กับเจ้าของกระทู้ และกับทุกๆ ท่านที่กำลังมีความทุกข์นะคะ