ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สำนักงานเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙
โดย วันชัย๒๕๐๔  26 ธ.ค. 2559
หัวข้อหมายเลข 28477

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากรของมูลนิธิฯ อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ ได้รับเชิญจาก คณะอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนของสำนักงานเขตพระโขนง โดยการประสานงานของ อพปร. ทวีชัย อยู่มั่นธรรมา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.หมายเลข ๙๕ เพื่อไปสนทนาธรรม ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๔ อาคารสำนักงานเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๔.๓๐ - ๑๗.๐๐ น.

การสนทนาธรรมในวันนี้เกิดขึ้น เนื่องจากการที่คุณทวีชัย อยู่มั่นธรรมา ได้สมัครเข้าเป็น อพปร.ของสำนักงานเขตพระโขนง ซึ่งภรรยาของคุณทวีชัยเอง ก็เป็นอาสาสมัครวิทยุสื่อสารเพื่อการประสานงานหน่วยงานอาสาสมัครที่ให้บริการแก่ประชาชนของเขตนี้มานานหลายปีแล้วเช่นกัน ทั้งสองท่านมีความเห็นว่า การที่อาสาสมัครทุกท่านมีกุศลจิตคิดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หากมีความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องด้วย ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย จึงกราบเรียนขอโอกาสจากท่านอาจารย์เพื่อมาสนทนาธรรมในวันนี้ ซึ่งการทั้งหลายก็เป็นไปกับประโยชน์อย่างยิ่ง สมความตั้งใจของทุกฝ่าย ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอนำความสนทนาธรรมบางตอนในวันนั้น มาบันทึกและแบ่งปันทุกท่านเพื่อพิจารณาดังนี้

ท่านอาจารย์ เข้าใจว่าทุกท่านที่นี่เป็นชาวพุทธ ถูกต้องไหมคะ? ถูกต้องนะคะ พุทธะ คือ อะไร? สำคัญมาก คือ "ไม่ใช่เพียงชื่อ" แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย "พุทธะ" คือ "รู้" ไม่ใช่ "ไม่รู้" รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ในภาษาไทย ภาษาบาลีก็มีคำ ใช้คำว่า "ปัญญา" ก็ได้ หรือว่า "สัมมาทิฎฐิ" ก็ได้

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ "ตรง" ข้อความในพระไตรปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ผู้ตรงเท่านั้น ที่จะได้สาระจากพระธรรม เพราะพระธรรมตรง!!! ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด!! เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่กล้า ที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง และมั่นคงในความถูกต้อง!!! เพราะเหตุว่า ปัญหาทั้งหมด มาจากความไม่รู้และความไม่ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น แม้แต่ชาวพุทธ ถ้าถามว่า แล้วชาวพุทธก็ต้องคือผู้ที่รู้ แล้ว "รู้อะไร?" เห็นไหม? เพราะฉะนั้น แต่ละคนต้องเป็นผู้ที่ "เริ่มตรง" ที่รู้ว่า สำหรับพวกเรา ยังมีโอกาสที่จะได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อื่นไม่มีคำนี้ แต่ว่าต้องให้รู้คุณค่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลสเลย แต่ ... ก่อนนั้นมี พอตรัสรู้ ก็บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมด ยากไหม? มีกิเลสมาก ทุกคนมองเห็น เวลารับประทานอาหารก็มีกิเลส อะไรอร่อย อะไรไม่อร่อย ไปที่ไหน ทำอย่างไร เป็นความต้องการทั้งนั้น เป็นกิเลส ซึ่งมีตั้งแต่อย่างที่เล็กน้อยมาก ไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่ง สามารถปรากฏให้คนอื่นเห็น เป็นทุจริตต่างๆ

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าไม่ได้รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เรามีโอกาสจะได้ยินคำนี้ "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" เป็นผู้ที่ทรงดับกิเลสหมดสิ้น ไม่ใช่เพียงธรรมดาอย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย แต่ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ด้วยพระองค์เอง

คิดดู ธรรมดาๆ อย่างนี้ ถ้าอยู่ในพระนครสาวัตถี พระองค์ก็เสด็จบิณฑบาต ใครเห็นก็ธรรมดา เหมือนพระภิกษุที่บิณฑบาตทั่วๆ ไป แต่ว่าพระองค์เป็นถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเปรียบได้เลย ในจักรวาล กี่จักรวาลก็ตาม เพราะว่าจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันสองพระองค์ไม่ได้ เพราะพระปัญญาคุณเหนือผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทั้งหมด เลิศ หาผู้เปรียบไม่ได้

เรามีโอกาสได้ฟังคำนี้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่ทรงมีกิเลสในชาติก่อนๆ จนกระทั่งสามารถที่จะบำเพ็ญบารมี ถึง "การรู้ความจริง" เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แล้วแสดงธรรมให้เราสามารถที่จะเข้าใจความจริง แต่ต้องเป็น "ผู้ที่ฟังพระธรรม" ไม่ใช่เป็น "ผู้ที่คิดเอง"

เพราะฉะนั้น "ทุกคำ" น่าคิด และ ทั้งหมด เป็นคำสอนที่ทรงแสดงไว้ ถึง ๔๕ พรรษา รวบรวมเป็นพระไตรปิฎก ๓ ปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ได้ยินคำว่า "พระไตรปิฎก" ก็ควรที่จะได้รู้ด้วย ว่าพระวินัยปิฎก เป็นข้อประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ได้ฟังพระธรรมและเห็นประโยชน์ของการที่จะละอาคารบ้านเรือน มีอัธยาศัยใหญ่ สละทรัพย์สิน เงิน ทอง ทั้งหมด เพื่อที่จะ (ศึกษา) เข้าใจธรรมะ เพราะฉะนั้น ต้องมีความประพฤติไม่เหมือนชาวบ้านเช่นเคย นั่นคือพระวินัยปิฎก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องข้อประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งคฤหัสถ์ สามารถที่จะอ่าน เข้าใจได้ เห็นกิเลสมากมาย จากการได้เข้าใจพระวินัย จะทำให้ไม่เป็นผู้ประมาทในการที่จะศึกษาธรรม

สำหรับพระสุตตันตปิฎก ก็เป็นเรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคฯเสด็จจาริก ทรงแสดงธรรม ตรัสทุกเรื่อง กับบรรดาบุคคลในครั้งโน้น จนกระทั่งท่านเหล่านั้น มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก ตามพระองค์

พระอภิธรรมปิฎก ชื่อว่า "อภิ" = "ยิ่ง ละเอียด ลึกซึ้ง" เพราะฉะนั้น อภิธรรมที่ฟังเวลาไปงานศพสวดพระอภิธรรม ก็หมายความถึง สวดธรรมะที่เป็นธรรมะละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ทั้ง ๓ ปิฎก เป็นปิฎกที่รวบรวมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าศึกษา น่าฟัง น่าเข้าใจไหม? ลองคิดดู? แม้ว่าจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว นาน แต่พระธรรมยังอยู่ เพราะพระธรรมทั้งหมด เป็นความจริงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และความจริงต้องจริง ทุกกาลสมัย

เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ตราบใดที่ยังมีผู้ที่เห็นประโยชน์ ที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาได้ เพราะฉะนั้น วันนี้เราก็มีการสนทนาธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา นานแสนนานมาแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ ก่อนอื่น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ชาวพุทธ-ผู้รู้ ไม่ใช่ ผู้ไม่รู้!! ถูกคือถูก ผิดคือผิด ต้องตรง เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ... รู้อะไร? ... เห็นไหม? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อะไร? ทุกคนตอบได้ ว่าจากเจ้าชายสิทธัตถะและได้ตรัสรู้ธรรม ดับกิเลส เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทรงตรัสรู้ธรรมะอะไร?

ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เอง ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมะ แต่ถูกปกปิดไว้ จนกว่าจะมีผู้เปิดเผย โดยการที่ได้ทรงตรัสรู้ ว่าสิ่งที่มีจริงนี้แหละ ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มีจริง คือ อะไร? เดี๋ยวนี้ ความจริงนั้นก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถูกปกปิดไว้ ให้ "ไม่รู้เหมือนเดิม" เกิดมาแล้วก็ตายไป ก็รู้แค่นี้ แล้วก็ "ยังเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด" ซึ่งความจริง ถ้าได้ฟังธรรมะแล้ว จะรู้ว่า "ทั้งหมดเป็นธรรมะ" เพราะธรรมะคือแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริง และพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ถึงที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง!!

ถ้าฟังอย่างนี้แล้ว เริ่มไตร่ตรอง ต้องเป็นความที่เห็นประโยชน์ว่า แม้แต่เพียง "คำเดียว" ว่า "ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง" ถ้า "ข้ามคำนี้" ไป ไม่มีการ "รู้จักธรรมะ" เลย จะไปศึกษาพระไตรปิฎก อรรถกถา อย่างไร แต่เพียง "คำเดียว" ถ้าไม่ "รู้จริงๆ " ไม่ "เข้าใจจริงๆ " ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว "แต่ละคำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

คงเคยได้ยินคำว่า "ธรรมะ" แล้ว ใช่ไหม? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว "พระธรรม" คือ อะไร? หรือ "ธรรมะ" คือ อะไร? แค่นี้ ผ่านไม่ได้!!! เพราะฉะนั้น เราสนทนาธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจความจริงยิ่งขึ้น ถ้าจะเริ่มฟังว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ผิดไหม? มีจริงๆ ภาษาไทยบอกว่า "สิ่งที่มีจริง" แต่ภาษาบาลีไม่มีคำว่า สิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำว่า ธรรมะ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี กำลังมีด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมะ "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ได้ยินกันบ่อยๆ ก็ต้องเข้าใจด้วย "สัพเพ"แปลว่า ทั้งหมด ทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งสิ้น "ธัมมา" ธรรมะทุกอย่าง คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ทุกอย่าง

สัพเพ ธัมมา อนัตตา มีคำสองคำ อัตตา กับ อนัตตา "อัตตา" ก็หมายความว่า เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด "อนัตตา" ไม่เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ตรัสรู้ว่า สิ่งที่มี แต่ละหนึ่ง รวมกัน ทำให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแยกย่อยออกไป เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งต้องเกิดขึ้น จึงมีได้ เกิดแล้วก็ดับไป อย่างดอกไม้นี้ หนึ่งแล้วใช่ไหม? อัตตา ดอกไม้ก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่งแล้ว ดอกไม้, โต๊ะ ก็ต้องเป็นอัตตา สิ่งหนึ่ง คือ โต๊ะ, คน ก็เป็นอัตตาเหมือนกัน เมื่อรวมกัน ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่า ไม่มี แต่มีธรรมะแต่ละหนึ่งต่างหาก และแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รวมๆ กัน ให้หลงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ เป็นอัตตา อยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เป็นสิ่งซึ่ง ไม่เผิน ฟังแล้ว ถึงจะเข้าใจมากน้อยอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงนั้น เปลี่ยนไม่ได้ "โกรธ" เป็นธรรมะหรือเปล่า? ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมะทั้งหมด เพราะฉะนั้น โกรธเป็นธรรมะหนึ่ง ในบรรดาธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา โกรธ ไม่ใช่พี่ป้าน้าอาโกรธ ไม่ใช่เพื่อนบ้านโกรธ โกรธเกิด เมื่อมีปัจจัย แล้วโกรธก็ดับไป ไม่ได้โกรธอยู่ตลอดเวลาเลย

เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เกิดตามใจชอบไม่ได้เลย ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจ จะโกรธไหม? ไม่โกรธ แต่พอเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่โกรธได้ไหม? ก็ไม่ได้ นี่คือความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ทุกคำ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ชัดเจนขึ้น แล้วก็รู้ว่า กว่าจะได้เข้าใจความลึกซึ้งจริงๆ ของธรรมะ ก็ต่อเมื่อเห็นประโยชน์ เป็นชาวพุทธคือผู้รู้ ไม่ใช่ผู้ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ผู้ที่หลงงมงาย แต่ว่า "ชาวพุทธ" ต้องรู้ รู้อะไร? รู้จักพระรัตนตรัย ที่กล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ต้องละเอียดว่า แล้วจะพึ่งอย่างไร? ไม่ใช่พึ่งให้ร่ำรวย ไม่ใช่พึ่งให้หายโรค ภัย ไข้ เจ็บ ไม่ใช่พึ่งให้มีลาภ ยศ สรรเสริญ แต่พึ่งให้รู้ความจริงของสิ่งที่มี

เพราะว่าเข้าใจว่า "เราเกิด" ใช่ไหม? แล้ว "เราตาย" แล้วหายไปไหน? ที่เกิดมานี่หายไปไหน? ถึงเวลาก็ต้องจากโลกนี้ไปเลย แล้วก่อนจากโลกนี้ไป ทุกๆ วันนี่ เมื่อวานนี้หมดแล้ว เมื่อกี้นี้หมดแล้ว หมดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ที่ใช้คำว่า ตายจากโลกนี้ แต่ก็มีปัจจัยที่จะเกิด แล้วแต่ว่า จะเป็นอะไร? ตามเหตุ ตามปัจจัย นี่คือความหมายของ "สังสารวัฏฏ์" ที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เป็นคำที่ควรเข้าใจละเอียดขึ้น จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทรงเป็นที่พึ่งที่แท้จริง เพราะว่า พึ่งในชาตินี้ แล้วก็พึ่งในชาติต่อไปด้วย เมื่อสามารถที่จะมีความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นก็เพิ่มขึ้น

น่าฟัง น่าศึกษา น่าเข้าใจพระรัตนตรัยไหม? เป็นชาวพุทธ ถ้าไม่รู้จักพระรัตนตรัย เป็นชาวพุทธได้ไหม? หรือเรียกว่าชาวพุทธ แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เป็นผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะเหตุว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่หลงคิดว่าเป็นชาวพุทธ

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ธรรมะเป็นเรื่องที่ เป็นสมบัติที่ล้ำค่า แม้ว่าจะมีเงินทองมากมาย มหาศาล แต่ถ้าไม่รู้ความจริง ก็เป็นทุกข์ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพราก จากทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นต้น ใครห้ามได้? นั่งกันอยู่เดี๋ยวนี้ ที่นี่ เย็นนี้อาจจะจากโลกนี้ไปก็ได้ ไม่มีใครรู้เลย เพราะฉะนั้น จะมีอะไรที่จะเป็นสมบัติจริงๆ ที่จะติดตามไป ก็คือความเห็น ความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นชาวพุทธต่อไปเมื่อมีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจขึ้น

แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ เรียกตนเองว่าชาวพุทธ แต่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็เปลี่ยนเสียใหม่ให้เป็นชาวพุทธจริงๆ ไหนๆ ได้ชื่อว่าชาวพุทธ ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทวีชัย อยู่มั่นธรรมา และ อปพร.เขตพระโขนงทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 27 ธ.ค. 2559

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทวีชัย อยู่มั่นธรรมา และ อปพร.เขตพระโขนงทุกท่าน
อนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 3    โดย นายสุรพล กิจพิทักษ์  วันที่ 28 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย rrebs10576  วันที่ 29 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 29 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย thilda  วันที่ 30 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย ชัยญานพ  วันที่ 30 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ พี่วันชัย


ความคิดเห็น 8    โดย เพียงดิน  วันที่ 12 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย wirat.k  วันที่ 15 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ