[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 9
ปฐมปัณณาสก์
พาลวรรคที่ ๑
๔. อัจจยสูตร
ว่าด้วยธรรมที่บ่งบอกว่าเป็นพาลหรือบัณฑิต
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 9
๔. อัจจยสูตร
ว่าด้วยธรรมที่บ่งบอกว่าเป็นพาลหรือบัณฑิต
[๔๔๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ พึงทราบได้ว่า เป็นคนพาล ธรรม ๓ ประการคืออะไรบ้าง คือ ไม่เห็นความล่วงเกินโดยเป็นความล่วงเกิน เห็นความล่วงเกินแล้วไม่ทำคืนตามวิธีที่ชอบ อนึ่ง เมื่อคนอื่นแสดงโทษที่ล่วงเกิน ก็ไม่รับตามวิธีที่ชอบ บุคคลประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล พึงทราบเถิดว่า เป็นคนพาล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ พึงทราบได้ว่า เป็นบัณฑิต ธรรม ๓ ประการคืออะไรบ้าง คือ เห็นความล่วงเกินโดยเป็นความล่วงเกิน เห็นความล่วงเกินโดยเป็นความล่วงเกินแล้วทำคืนตามวิธี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 10
ที่ชอบ อนึ่ง เมื่อคนอื่นแสดงโทษที่ล่วงเกินก็รับตามวิธีที่ชอบ บุคคลประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล พึงทราบเถิดว่า เป็นบัณฑิต.
จบอัจจยสูตรที่ ๔
อรรถกถาอัจจยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอัจจยสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้:-
บทว่า อจฺจยํ อจฺจยโต น ปสฺสติ ความว่า คนพาลย่อมไม่เห็นความผิดของตนว่าเป็นความผิด. บทว่า อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ น ปฏิกโรติ ความว่า คนพาลแม้ทราบแล้วว่าเราทำผิด ก็ไม่ยอมทำตามธรรม คือ รับทัณฑกรรมมาแล้วก็ไม่ยอมแสดงโทษ คือ ไม่ยอมขอโทษคนอื่น. (๑) บทว่า อจฺจยํ เทเสนฺตสฺส ยถาธมฺมํ ปฏิคฺคณฺหาติ ความว่า เมื่อคนอื่นทราบว่าเราทำผิด รับทัณฑกรรมมาแล้วให้ขอขมา คนพาลก็จะไม่ยอมยกโทษให้.
ธรรมฝ่ายขาว (ของบัณฑิต) พึงทราบโดยนัยที่ตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
จบอรรถกถาอัจจยสูตรที่ ๔
(๑) ปาฐะว่า อจฺจยํ น เทเสติ ฉบับพม่าเป็น อจฺจยํ น เทเสติ นกฺขมาเปติ แปลตามฉบับพม่า