คุณพ่อพึ่งเสียชีวิต ทำบุญตักบาตรไปให้ท่านจะได้รับหรือไม่
ได้ยินคนโบราณพูดกันว่า เมื่อครบเจ็ดวันจิตจะรู้ตัวเองว่าตายแล้ว ตั้งแต่คุณพ่อเสียชีวิตไม่กี่วันมานี้ ดิฉันทำบุญด้วยการตักบาตรอย่างเดียว แต่ไม่รู้ว่าตักไปแล้วท่านจะได้รับบุญกุศลหรือไม่ และดิฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าทำบุญถูกวิธีไหม กรวดน้ำต้องกล่าวเริ่มต้นและจบอย่างไร คุณพ่อถึงจะได้รับบุญนี้ค่ะ รบกวนช่วยกรุณาชี้แนะวิธีการด้วยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ จาก คนพึ่งทำบุญ
ขอเชิญคลิกอ่านที่ ..
การอุทิศส่วนกุศล
ตายแล้วไปเกิดทันที
สำหรับคำอุทิศส่วนบุญ (กรวดน้ำ) พูดภาษาไทยสั้นๆ ก็ได้ คือ ขอส่วนบุญนี้จงมีแก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุขหรือพูดออกชื่อคุณพ่อก็ได้ ส่วนคุณพ่อจะได้รับหรือไม่ได้รับขึ้นอยู่กับกับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ภูมิที่คุณพ่อไปเกิดใหม่ เป็นต้น แต่เราก็ควรทำหน้าของลูกให้ดีที่สุด คือ เมื่อทำบุญทุกครั้งก็อุทิศให้ท่านครับ
ขอบคุณมากค่ะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
เมื่อเห็นว่าใครเสียชีวิตนั้น มีจุติจิตเกิดขึ้น ทำหน้าที่สิ้นสุดภพชาติ หมดความเป็นบุคคลในชาตินี้ แล้วเกิดปฏิสนธิจิตของชาติใหม่ทันที ไม่มีระหว่างคั่น ทำหน้าที่สืบต่อภพใหม่ คือไปเกิดทันทีในภพใหม่
สำหรับการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผุ้ล่วงลับ คือการที่บุคคลนั้น สามารถรับรู้ว่าเรามีการทำกุศลและกล่าวคำอุทิศบุญให้ และบุคคลนั้นเอง มีจิตโสมนัสยินดีอนุโมทนาบุญได้ เมื่ออนุโมทนาบุญคือยินดีด้วยในความดีที่เราทำ บุญย่อมสำเร็จแด่เขา นั่นคือได้รับผลบุญที่เขาได้ทำเอง หากเขาอยู่ในภพภูมิที่มิอาจรู้ได้ว่า มีใครทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้ ก็ไม่สามารถอนุโมทนาบุญด้วยได้ ก็ไม่ได้รับบุญ
เพราฉะนั้น เมื่อต้องการให้บุคคลอื่นได้รับบุญกับเราด้วย ก็ควรกล่าวอุทิศส่วนบุญกุศล ของเรา ให้เขาได้รับทราบและมีจิตโสมนัสยินดี อนูโมทนาบุญกับเรา ทั้งคนทียังมีชีวิตอยู่ที่สามารถรับรู้ได้ในชาตินี้ และคนที่ล่วงลับ ที่มีภพภูมิที่รับรู้ได้ในชาติต่อไป
การกล่าวคำอุทิศส่วนกุศล ขณะนั้นควรมีจิตโสมนัสยินดี กล่าวออกเสียงหรือกล่าวในใจก็ได้ว่า "ขออุทิศส่วนกุศลที่ได้ทำแล้วนี้ แก่ ......... ขอจงมีจิตโสมนัสยินดี ร่วมอนุโมทนาในบุญกุศลครั้งนี้ด้วย"
กราบอนุโทนาบุญครับ
ทุกครั้งที่เราทำกุศลอย่างหนึ่งอย่างใดในบุญ ๑๐ อย่าง เราก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าท่านได้รับหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับภพภูมิที่ท่านเกิด แต่เราก็ทด แทนพระคุณของท่านด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ให้สังคมเป็นคนดีและทำดีกับทุกคนค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การอุทิศส่วนกุศลในบุญที่ทำเป็นหน้าที่ของบุตร ซึ่งการที่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วจะเกิดกุศลจิตอนุโมทนาในบุญของผู้อุทิศให้ก็ตามเหตุปัจจัย เช่น เกิดในภพภุมิเปรตหรือเทวดา มีผู้อุทิศให้ รับรู้ในกุศลทีผู้อื่นอุทิศให้และสัตว์นั้นอนุโมทนาบุญ
ส่วนการกล่าวคำอุทิศก็คือมีเจตนาที่จะอุทิศให้ ไม่ว่าเป็นภาษาอะไรแต่จิตคิดอุทิศให้ จิตก็เป็นกุศลที่อุทิศให้แล้วดังนั้นจึงสำคัญที่จิตเป็นสำคัญครับ ไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่ภาษาหรือคำกล่าว ขออนุโมทนาในความกตัญญูด้วยครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบคุณ คุณ prachern.s นายเรืองศิลป์ wannee.s คุณ paderm และคุณ pornpaon มากๆ ค่ะ เวลานี้ก็เหลือคุณแม่เพียงคนเดียว จะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด เท่าที่ตนจะทำได้
ขออนุโมทนาบุญค่ะ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
หนูเพิ่งเสียคุณพ่อไปวันที่ 28/2/64 วันนี้ วันที่ 2/3/64 คิดถึงคุณพ่อใจเหมือนแทบสลายรักคุณพ่อมาก อยากรู้คุณพ่อจะไปไหน
เรียน ความเห็นที่ 11
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงของชีวิต คือส่วนที่ประกอบจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม เป็นธาตุที่ไม่รู้อะไร และอีกส่วนเป็นธาตุรู้ คือนามธรรม การที่คิดว่ามีคุณพ่อเรา มีตัวเรา นั้น แท้จริง เป็นเพียงการประชุมรวมกันของธาตุทั้ง 2 ส่วน ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญคือกรรม คือเหตุที่ให้ได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้ ในชาตินี้ และเมื่อกรรมนั้นสิ้นสุดลง ก็เป็นปัจจัยให้ ธาตุที่ประชุมรวมกันนั้นต้องสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้และมีอีกกรรมหนึ่งนำเกิดเป็นบุคคลใหม่ทันที มีญาติพี่น้องใหม่ ครอบครัวใหม่ แล้วก็ผูกพันผู้ที่ได้พบใหม่ต่อไปอีก ลืมหมดสิ้นของสิ่งต่างๆ ที่เคยรักใคร่ผูกพันในชาติก่อนที่เพิ่งจากมา เหมือนที่เราเองก็จำเหตุการณ์ในชาติก่อนที่จะมาเกิดเป็นเราในชาตินี้ไม่ได้เลย เคยเป็นใคร ก็ไม่ทราบได้ แม้คุณพ่อในชาติก่อน เราก็จำไม่ได้แล้ว ใช่ไม๊คะ?
ดังนั้น คุณพ่อที่เพิ่งจากไป ท่านก็เป็นบุคคลใหม่แล้วเช่นกัน ลืมทุกสิ่งทุกอย่างในชาตินี้หมดแล้ว แล้วเราจะรู้ไปทำไมคะกับชีวิตของบุคคลใหม่ที่เขาก็ไม่รู้จักเราอีกแล้ว ที่สำคัญอยากรู้แค่ไหนก็รู้ไม่ได้ เพราะไม่มีคุณพ่อคนนั้นแล้ว มีแต่สภาพธรรมที่ทำกิจในความเป็นบุคคลใหม่ ซึ่งก็ไม่ทราบได้เลยว่า จะเป็นบุคคลใด ฐานะใด ในภูมิใด เพราะเราไม่ทราบอดีตกรรมของใคร แม้แต่กรรมของเราเองที่ทำไว้ในชาติก่อนๆ แสนยาวนาน เราก็ไม่รู้ ไม่เห็น
ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครจากไป มีเพียงการทำหน้าที่ของสภาพธรรมตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย สภาพธรรมเหล่านั้นก็ไม่ต้องทำกิจหน้าที่อีก ซึ่งการจะรู้ความจริงนี้ได้ก็ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงที่ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง หากมีคำถามว่า รู้ความจริง เพื่ออะไร? ก็น่าพิจารณาไตร่ตรอง ว่า การที่มีความรัก ผูกพัน คิดถึงกัน นำมาซึ่งความทุกข์แทบใจสลายดังที่ได้กล่าวมา แล้วชาติต่อๆ ไป ก็ทุกข์เช่นนี้อีกใช่หรือไม่ เพราะต้องพลัดพรากจากบุคคลที่รัก ทุกชาติที่เกิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ความจริงของเหตุเกิดความทุกข์ของสัตว์โลก และหนทางออกจากความทุกข์นั้นได้ ทรงแสดงให้ได้รู้ว่า ความยาวนานของสังสารวัฎฎ์นั้น สัตว์โลกประสบความทุกข์จากการพลัดพรากสิ่งอันเป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาที่แต่ละชีวิตต้องไหลออกมาเพราะการคร่ำครวญร้องไห้ จากการสูญเสียบิดาในแต่ละชาติ ถ้ารวมกันแล้วทุกชาติ มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 รวมกัน นี่ยังไม่รวมกับความเสียใจจากการสูญเสียมารดา หรือบุคคลอันเป็นที่รักอื่นๆ อีก เหตุสำคัญก็คือความไม่รู้ความจริงว่าทั้งหมดมีเพียงธาตุ จึงยึดมั่นว่า นั่นคือคนที่เรารัก
ซึ่งหากได้ฟังคำของพระพุทธองค์โดยละเอียดต่อไป จะได้ทราบว่า การพลัดพรากไม่เฉพาะความตายเท่านั้น แต่ทุกขณะกำลังพลัดพรากตลอดเวลา จากการแตกสลายของธาตุ ขณะนี้คิดถึงผู้อื่นที่จากไป แต่ไม่รู้ว่าแม้แต่กายนี้ที่คิดว่าเป็นเรา ก็กำลังแตกสลายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ไม่มีบุคคลใดที่เที่ยงยั่งยืน เพราะมีแต่ความเป็นธาตุเท่านั้น ซึ่งต้องอาศัยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงจะเข้าใจความจริงเช่นนี้ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปแต่ละชาติ จึงจะค่อยๆ ไถ่ถอนความเห็นผิดที่ฝังลึกมานับชาติไม่ถ้วนนี้ออกไปได้ ความจริงเท่านั้นที่จะทำให้ ค่อยๆ หมดความทุกข์ จนถึงไม่เหลืออีกเลย เพราะไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีก แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริงยังมีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมต่างๆ ทำกิจให้เกิดเป็นคนนั้นคนนี้ ฐานะนั้น ฐานะนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ต้องมีการพลัดพรากจากกัน แล้วก็ต้องเสียใจเพราะความผูกพัน ไม่รู้จบในทุกชาติที่ต้องเกิด เวลาที่มีอยู่ในชาตินี้มีค่ามากหากเป็นไปเพื่อการศึกษาพระธรรมเพื่อรู้ความจริง มีประโยชน์ยิ่งกว่าจะอยากรู้ว่าคุณพ่อไปไหน เพราะอยากรู้แค่ไหนก็รู้ไม่ได้ แม้สภาพธรรมที่เกิดและดับไปขณะนี้ ก็หาไม่พบเช่นเดียวกัน แล้วจะหาความเป็นตัวคุณพ่อเราที่จากไปแล้วได้อย่างไร หากเรื่องราวของท่านที่ยังอยู่ในความทรงจำ คือ คิดถึงคุณความดีของท่านที่ได้เลี้ยงดูเรามา อบรมสั่งสอนให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเราผู้เป็นลูกจนเติบใหญ่ ก็สามารถตอบแทนพระคุณความดีของท่านด้วยการกระทำคุณความดี ซึ่งการศึกษาพระธรรมเป็นคุณความดีที่สูงยิ่ง เพราะเป็นการอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งจะทำให้กุศลต่างๆ เจริญขึ้น เช่น การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือบุคคลอื่น ต่อผู้เดือดร้อน หรือผู้ที่ควรช่วยเหลือ เช่นมารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือญาติพี่น้องของคุณพ่อ ครอบครัว มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ เมื่อคุณความดีที่เกิดจากกุศลจิตเกิดขึ้นแล้ว ก็สามารถอุทิศกุศลนั้นให้กับคุณพ่อ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในภพภูมิใดฐานะใดที่สามารถล่วงรู้ถึงคุณความดีที่ลูกกระทำ ก็จะโสมนัสยินดี ดำรงอัตภาพที่อยู่ในสุคติภูมิตามกุศลกรรมที่ท่านเคยทำไว้ด้วยกุศลจิตที่เกิดจากจิตที่ยินดีในกุศลของลูก
การศึกษาพระธรรมจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับชีวิตนี้ในขณะที่ยังมีกายนี้อบรมเจริญปัญญา เข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไปนะคะ ยินดีในกุศลค่ะ
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ลิ๊งคนี้
นางปฎาจารา
เรื่องเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือ
ธรรมะเกี่ยวกับความตาย
เครื่องเตือนจากความตายด้วยพระธรรม
ขออนุโมทนาครับ
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา
กราบอนุโมทนากุศลความเห็นที่ 14 ที่กรุณาเอืัอเฟื้อเพื่อนร่วมทุกข์ ด้วยค่ะ
ญาติผู้ใหญ่เพิ่งล่วงลับ อยากทราบว่าวันรุ่งขึ้นเราสามารถใส่บาตรให้ท่านได้เลยหรือไม่
ขอบคุณครับ
ขอเชิญรับฟัง...
ไม่ควรรอคอยวันเวลาในการทำกุศล
การอุทิศส่วนกุศล เป็นกุศลที่ควรเจริญ
การอุทิศส่วนกุศล เป็นกุศลที่ควรเจริญ เพราะเหตุว่าขณะใดที่เป็นทานกุศล ขณะนั้นจิตไม่เป็นอกุศล และในวันหนึ่งๆ การให้ทานก็ไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับอกุศลจิต เพราะฉะนั้น เมื่อถวายทานแล้ว ก็ควรจะได้เจริญกุศลอื่น คือ อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว