บุคคลที่จะมาเกิดได้ มาเกิดยังมนุษย์ ไปอุบัติที่เทวโลก หากมาเกิดในครรภ์ภรรยาเรา (รู้มาว่าเกิดจากบุญ-กรรม) ทำไมถึงมาเลือกเกิดที่ท้องครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง?
๑. เป็นกรรมที่สัมพันธ์กันกับเราและภรรยาเราในอดีตใช่มั๊ยครับ หากใช่ในอดีตที่สัมพันธ์กัน ก็น่าจะฐานะพอๆ กัน เพราะคนเราที่คบกันอยู่ทุกๆ วันส่วนใหญ่ก็ฐานะพอๆ กันอาจจะต่างกันแต่ก็ไม่น่าจะมาก แต่ทำไมบางคนพ่อแม่ยากจน แต่ลูกเป็นนายกรัฐมนตรี หรือพ่อแม่ยากจน แต่ลูกเป็นมหาเศรษฐี ซึ่งเราก็พบเห็นทั่วไป
๒. และกรรมสัมพันธ์ที่มาเป็นพ่อแม่ลูกกัน จะต้องมาเกี่ยวเป็นญาติ ตระกูลเดียวกัน ไปตลอดที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฐ ใช่มั๊ยครับ?
๓. ผมเห็นตัวอย่างป้า ซึ่งทำบุญทำทานตลอด ท่านก็บอกอยู่ตลอดว่าทำบุญไม่อยากมาเจอน้าผม (น้องของป้า) ซึ่งเขาเกลียดกันครับ คือ ป้าเลี้ยงเขา และช่วยเหลือเขามา แต่เขาไม่รู้บุญคุณครับ การกระทำเช่นนี้ในชาติหน้ามีโอกาสไม่มาเจอกันหรือไม่ครับ
ขอบคุณครับขออนุโมทนาบุญของการให้ธรรมทานของผู้รู้ที่ตอบทุกท่านครับ
๑. การที่สัตว์จะเกิดที่ไหนเพราะกรรมนำเกิด ตัวเขาเองไม่ได้เลือกที่เกิด แต่เพราะกรรมจำแนกให้เขาเกิดตามเหตุที่เขากระทำไว้ อนึ่งวัฏฏะอันยาวนานนี้ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเคยอยู่ร่วมกันในฐานะต่างๆ ดังนั้นคนในครอบครัวเดียวกันมีฐานะต่างกันย่อมเป็นธรรมดา
๒. ไม่แน่นอน ดูอย่างพระโพธิสัตว์ กับพระสารีบุตร หรือพระเทวทัต บางครั้งเป็นญาติ บางครั้งเป็นศิษย์อาจารย์บางครั้งเป็นเพื่อนกัน บางครั้งเป็นศัตรูก็มี
๓. ไม่แน่นอน บางชาติอาจเจอกันหรือบางชาติอาจไม่เจอกัน เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนานมาก สมดังข้อความในพระสูตรว่า..
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่
สงสารกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ [ปิตุสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อ ๑. กรรมต่างหากที่ทำให้เกิดครับ และกรรมก็มีหลายกรรม เราก็ได้แต่คิดนึกเอาว่า เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนเลือกได้ แต่กรรมต่างหากที่เลือกให้ ดังนั้น จึงเดาไม่ได้ว่าเป็นกรรมไหน หรือกรรมอะไร สัมพันธ์กันหรือไม่ เพราะเป็นเรื่อง เหลือวิสัย (อจินไตย) ซึ่งการรู้ผลของกรรมและวิบากกรรมนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา ระดับสูง และที่กล่าวว่าทำไมฐานะต่างกัน เมื่อพิจารณาจากคำที่ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน พ่อแม่ก็มีกรรมของตนที่ทำมา กรรมของพ่อแม่ที่ทำไว้ ก็ไม่เกี่ยว ข้องกับลูกเลยเพราะคนละคน สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตนครับ พ่อแม่ทำชั่ว จะให้ลูกรับกรรมชั่วเพราะกรรมของพ่อแม่ที่ทำก็ไม่ได้ครับ
ข้อ ๒. ตราบใดที่ยังวนเวียนในสังสารวัฏฏ์ก็ต้องเกิดเป็นกันในทุกฐานะ แต่คงตัดสินไม่ได้เพราะกรรมอะไร เพราะเหลือวิสัยครับ ไม่ควรคิด
ข้อ ๓. ก็เป็นเรื่องของกรรมอีกเช่นกัน คงตัดสินไม่ได้เพราะเหลือวิสัย ขณะนี้ที่ท่านเห็น (เป็นผลของกรรม เช่นกัน) เป็นผลของกรรมอะไร และทำกับใครไว้ก็ไม่ทราบ ดังนั้นมีสิ่งที่ควรรู้ และไม่เหลือวิสัย และเป็นสิ่งที่ทำให้ดับกิเลสได้คือ เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นกับตนเองในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่เช่นนั้น เราก็ยึดว่ามี พ่อ แม่ ป้า น้า อา หลงอยู่ในความเห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคล ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบครับ รู้เท่าที่รู้ได้นะ และรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือในสิ่งที่ดับกิเลสครับ
ขออนุโมทนาครับ
เรื่อง ความคิดที่ควรคิดและเป็นประโยชน์ ไม่เหลือวิสัย
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 463
ข้อความบางตอนจาก
จินตสูตร
[๑๗๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็เมื่อเธอทั้งหลายจะคิด พึงคิดว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความคิด นั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความ หน่าย... เพื่อนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย พึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ชาตินี้เราได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้อบรมปัญญาเป็นชาติที่ประเสริฐที่สุดค่ะ
กรรมในปัจจุบันมี ๖ อย่าง
กรรมในปัจจุบัน ๖ อย่าง ได้แก่ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมมีอยู่ ๑ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมไม่มี ๑ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักมี ๑ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี ๑ กรรมจักมีผลของกรรมจักมี ๑ กรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี ๑
วิบากเป็นผลของกรรมของตน
วิบากเป็นผลของกรรมของตน ผู้อื่นทำให้ไม่ได้ แต่ละคนมีวิบากกรรมที่ตนได้ทำมาแล้ว กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากไม่ควรเดือดร้อนทุกสิ่งทุกอย่างกรรมเป็นผู้จัดสรรวิบาก จิตรับผลกรรมโดยรู้อารมณ์ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นการใช้หนี้กรรมที่ได้กระทำแล้ว
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ