[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 566
มหาวรรคที่ ๔
๑๐. คณเปตวัตถุ
ว่าด้วยเรื่องเปรตหิวน้ำแล้วกินไม่ได้
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 566
๑๐. คณเปตวัตถุ
ว่าด้วยเรื่องเปรตหิวน้ำแล้วกินไม่ได้
พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามเปรตทั้งหลายว่า :-
[๑๓๐] ท่านทั้งหลายเปลือยกาย มีรูปร่างผิวพรรณน่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ผอมจนแลเห็นแต่ซี่โครงเช่นนี้ แน่ะ ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านทั้งหลายเป็นอะไรหนอ.
เปรตทั้งหลายตอบว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าเป็นเปรตเสวยทุกข์ เกิดในยมโลก เพราะทำกรรมชั่วไว้ จึงจากมนุษยโลกไปสู่เปตโลก.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า :-
ท่านทั้งหลายทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะผลแห่งกรรมอะไร ท่านทั้งหลายจึงจากมนุษยโลกไปสู่เปตโลก.
เปรตเหล่านั้นตอบว่า :-
เมื่อสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นที่พึ่ง อันหาโทษมิได้มีอยู่ ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้ก่อสร้าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 567
กุศลไว้แม้เพียงกึ่งมาสก เมื่อไทยธรรมมีอยู่ก็ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน พวกข้าพเจ้าหิวน้ำ จึงเข้าไปใกล้แม่น้ำ แม่น้ำกลับกลายเป็นว่างเปล่าไป เมื่อเวลาร้อน ข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปสู่ร่มไม้ ร่มไม้กลับกลายเป็นแดดแผดเผาไป และลมมีสีดังไฟแผดเผาพวกข้าพเจ้าฟุ้งไป ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายควรที่จะเสวยทุกข์อันมีความกระหายเป็นต้นนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้ากว่าทุกข์นั้น อนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ความหิวแผดเผาแล้วอยากอาหาร พากันไปสิ้นทางหลายโยชน์ ก็ไม่ได้อาหารอะไรๆ เลย จึงพากันกลับมา ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้หาบุญมิได้หนอ เมื่อมีความหิวโหยอิดโรยมากขึ้น ก็พากันล้มสลบลงที่พื้นดิน บางคราวก็ล้มนอนหงาย บางคราวก็ล้มคว่ำ ดิ้นรนไปมา ก็ข้าพเจ้าเหล่านั้นสลบอยู่ที่พื้นดินตรงที่ล้มอยู่นั่นเอง เอาศีรษะชนหน้าอกกันและกัน ข้าพเจ้าเหล่านี้หาบุญมิได้หนอ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายควรที่จะเสวยทุกข์ อันมีความกระหายเป็นต้นนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้ากว่าทุกข์นั้น เพราะเมื่อไทยธรรมมีอยู่ ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ไม่ได้ทำที่พึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 568
แก่ตน ก็ข้าพเจ้าเหล่านั้นไปจากที่นี้ ได้กำเนิดเป็นมนุษย์แล้ว จักเป็นผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล กระทำกุศลให้มากเป็นแน่.
จบ คณเปตวัตถุที่ ๑๐
อรรถกถาคณเปตวัตถุที่ ๑๐
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตเป็นอันมาก จึงได้ตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาตฺถ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี มนุษย์เป็นอันมากเป็นคณะ ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส มีจิตถูกมลทินคือ ความตระหนี่กลุ้มรุม เป็นผู้เบือนหน้าต่อสุจริต มีทานเป็นต้น มีชีวิตอยู่นาน เพราะกายแตกตายไป จึงบังเกิดในกำเนิดเปรตใกล้พระนคร. ภายหลัง วันหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังเดินบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เห็นพวกเปรตในระหว่างทาง จึงถามด้วยคาถาว่า :-
พวกท่านเปลือยกาย มีรูปร่างผิวพรรณน่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ผอมจนเห็นแต่ซี่โครงเช่นนี้ แน่ะท่านผูนิรทุกข์ พวกท่านเป็นใครหนอ?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุพฺพณฺณรูปาตฺถ ความว่า ท่านเป็นผู้มีร่างกายผิวพรรณน่าเกลียด. บทว่า เก นุ ตุมเหตฺถ ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 569
พวกท่านเป็นใครหนอ. พระมหาโมคคัลลานะเรียกเปรตเหล่านั้นโดยสมควรแก่ตนว่า มาริสา.
เปรตได้ฟังดังนั้น จึงพากันประกาศความที่ตนเป็นเปรต ด้วยคาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าเป็นเปรต เสวยทุกข์ เกิดในยมโลก เพราะการทำกรรมชั่วไว้ จึงจากมนุษยโลกไปสู่เปตโลก ดังนี้
ถูกพระเถระถามถึงกรรมที่เขาทำไว้อีก ด้วยคาถาว่า :-
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ ด้วยกาย วาจา และใจ เพราะผลแห่งกรรมอะไร พวกท่านจึงจากมนุษยโลกไปสู่เปตโลก.
จึงได้กล่าวกรรมที่ตนทำด้วยคาถาว่า :-
เมื่อสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้เป็นที่พึ่งอันหาโทษมิได้มีอยู่ ข้าพเจ้าทั้งหลาย มิได้ก่อสร้างกุศลไว้แม้เพียงกึ่งมาสก เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ก็ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน พวกข้าพเจ้าหิวน้ำ จึงเข้าไปใกล้แม่น้ำ แม่น้ำกลับกลายเป็นว่างเปล่าไป เมื่อเวลาร้อน พวกข้าพเจ้าเข้าไปสู่ร่มไม้ ร่มไม้กลับกลายเป็นแดดแผดเผาไป และลมมีสีดังไฟแผดเผาพวกข้าพเจ้าฟุ้งไป ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าควรจะเสวยทุกข์ อันมีความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 570
กระหายเป็นต้นนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้ากว่าทุกข์นั้น อนึ่งพวกข้าพเจ้าเป็นผู้ถูกความหิวแผดเผาแล้ว อยากอาหาร พากันไปสิ้นทางหลายโยชน์ ก็ไม่ได้อาหารอะไรๆ เลย จึงพากันกลับมา พวกข้าพเจ้านี้หาบุญมิได้หนอ เมื่อมีความหิวโหยอิดโรยมากขึ้น ก็พากันล้มสลบลงที่พื้นดิน บางคราวก็ล้มนอนหงาย บางคราวก็ล้มคว่ำ ดิ้นรนไปมา ก็พวกข้าพเจ้านั้นสลบอยู่ที่พื้นดิน ตรงที่ล้มอยู่นั่นเอง เอาศีรษะชนหน้าอกกันและกัน พวกข้าพเจ้านี้หาบุญมิได้หนอ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าควรที่จะเสวยทุกข์ มีความกระหายเป็นต้นนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้ากว่าทุกข์นั้น เพราะเมื่อไทย ธรรมมีอยู่ พวกข้าพเจ้า ก็ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน ก็พวกข้าพเจ้านั้น ไปจากที่นี้ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเป็นผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล จักทำกุศลให้มากแน่ๆ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ โยชนานิ คจฺฉาม ความว่า ข้าพเจ้าไปได้หลายโยชน์. อย่างไร? คือเป็นผู้หิวอยากกินอาหาร. อธิบายว่า พวกข้าพเจ้าถูกความหิวครอบงำมานาน อยากกิน คือ อยากลิ้มอาหาร แม้ครั้นไปอย่างนี้ ไม่ได้อาหารอะไรๆ เลย ก็พา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 571
กันกลับมา. บทว่า อปฺปปุญฺตา ได้แก่ พวกข้าพเจ้าไม่มีบุญ คือ ไม่ได้ทำคุณงามความดีไว้.
บทว่า อุตฺตานา ปฏิกิราม ความว่า บางคราวเป็นผู้นอนหงาย เป็นไปเหมือนอวัยวะน้อยใหญ่กระจัดกระจายไป. บทว่า อวกุชฺชา ปตามเส ความว่า บางคราวก็นอนควํ่าตกลงไป.
บทว่า เต จ ได้แก่ พวกข้าพเจ้านั้น. บทว่า อุรํ สีลญฺจ ฆฏฺเฏม ความว่า นอนคว่ำตกลงไป เมื่อไม่อาจจะลุกขึ้นได้ สั่นงันงกอยู่ ประสบเวทนา เอาอกและศีรษะเสียดสีกัน. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล.
พระเถระกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว. มหาชนฟังธรรมนั้นแล้วละมลทิน คือ ความตระหนี่ ได้เป็นผู้ยินดีสุจริต มีทานเป็นต้น ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคณเปตวัตถุที่ ๑๐