ข้อความตอนหนึ่งที่ท่านวิทยากรได้แสดงไว้ในความเห็นที่ 2 ของกระทู้ ..
การล่วงศีล ๕ และ อกุศลกรรมบถ ๑๐ นำไปสู่อบายภูมิ
อกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เท่านั้น ไม่ใช่สุคติภูมิ เพราะการจะไปเกิดในสุคติภูมิซึ่งเป็นภพภูมิที่ดี กล่าวคือมนุษย์ภูมิและสวรรค์ ต้องเป็นผลของกุศลกรรมฝ่ายเดียว การกระทำอกุศลกรรมบถ ซึ่งเป็นความประพฤติ เป็นไปของคนที่ไม่ดี มีกิเลสที่สะสมมาจนมีกำลัง มีโลภะ โทสะ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นเรื่องที่จะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว เพราะกิเลสที่มีมาก มีกำลัง ก็เนื่องมาจากการสะสมไปทีละเล็กทีละน้อยนี้เอง ครับ
ขอเรียนถามว่า จะเริ่มต้นอย่างไรที่จะไม่สะสมกิเลส เพราะตั้งแต่ตื่นก็มีกิเลสแล้วโดยไม่รู้ตัว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้ง จึงไม่ใช่เรื่องของตัวตนที่จะทำ จะพยายามไม่ให้มีกิเลส จะพยายามทำกุศล ทำปัญญา แต่สภาพธรรมทุกอย่างเกิดตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ซึ่งเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย กิเลสเกิดขึ้นได้ เพราะมีอนุสัยกิเลสที่สะสมมาเต็ม พร้อมที่จะเกิดได้ตลอดเวลา เพียงเห็นอกุศล กิเลสเกิดแล้วโดยไม่รู้ตัว ก็สะสมกิเลสไปในขณะนั้น หากแต่ว่าหนทางการละกิเลส ไม่ใช่การจะไม่สะสมกิเลส เพราะกิเลสต้องสะสมเป็นปกติ แต่ควรสะสมเหตุที่จะทำให้ละกิเลส คือปัญญา ความเห็นถูก ซึ่งเป็นหนทางเดียว ที่จะสามารถละกิเลสได้หมดสิ้น แม้จะสะสมกิเลสมามากเท่าไหร่ และต่อไปก็สะสมกิเลสมามากอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อปัญญาถึงพร้อมจนถึงที่สุด ก็สามารถละกิเลสต่างๆ ได้จนหมดสิ้น ที่เป็นปัญญาขั้นสูง ดั่งเช่น พระอรหันต์ทั้งหลายดับกิเลสได้หมดสิ้น ทั้งๆ ที่สะสมกิเลสมามากมายนับไม่ถ้วน ครับ ท่านจึงเปรียบ กิเลสเหมือนทหารเลว แต่ปัญญา กุศลธรรมที่ประกอบ เหมือนทหารกล้าผู้มีฝีมือ แม้มีจำนวนน้อยกว่า แต่ก็สามารถฆ่าทหารเลวได้จนหมดสิ้น ครับ
ซึ่งหนทางการเกิดปัญญา คือการเจริญอบรมปัญญา ขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรมโดยเฉพาะการเข้าใจถูกเป็นเบื้องต้นว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะหนทางการดับกิเลสที่เป็นทางสายกลาง คือการรู้ความจริงในสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ แม้กิเลสเกิดขึ้น ก็รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้น กำลังสะสมเหตุใหม่ที่เป็นเหตุให้ละกิเลสคือปัญญาที่เห็นถูกตามความเป็นจริง ที่เป็นสติปัฏฐาน มรรคในขณะนั้น ครับ ซึ่งขอนำข้อความคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่เป็นหนทางการดับกิเลสคือทางสายกลางที่เป็นหนทางการละกิเลส อย่างลึกซึ้งดังนี้ ครับ
@ ได้ยินคำว่าทาง ทางคืออะไร ทางไปไหน ซึ่งคำว่าทาง ก็เพื่อความเข้าใจถูก เพื่อความเห็นถูก ค่ะ
@ ทางสุดโต่งอีกทางคือการทรมานตนให้ลำบาก แม้อย่างละเอียดคือการทำด้วยโทสะ ทำด้วยการบังคับ ที่พยายามจะละกิเลส ไม่ใช่ทางสายกลาง ค่ะ
@ ทางสายกลาง คือการอบรมความเข้าใจถูก ว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้น เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ค่ะ
@ หนทางสายกลาง คือหนทางการอบรมปัญญาในขั้นการฟัง ตั้งแต่เริ่มต้นว่าไม่มีใครสามารถบังคับให้สามารถไม่เกิดได้ เห็นเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว แข็งเกิดแล้ว โลภะเกิดแล้ว โทสะเกิดแล้ว เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ค่ะ
@ มีสิ่งที่ปรากฏรู้หรือยัง แต่ถ้ายังไม่รู้ ที่สำคัญคือค่อยๆ ฟัง มั่นคงไปเรื่อยๆ ให้มั่นคงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ฟังไปกี่ภพกี่ชาติอย่างนี้ ให้เข้าใจเช่นนี้ ก็จะทำให้ถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ค่ะ
@ ศึกษาธรรม เพื่อที่จะไม่ให้ทำอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ทำบาป ไม่ทำทุจริต ไม่ใช่ทางสายกลาง เพราะเป็นทางที่จะทำ ไม่เข้าใจ กลางไม่ได้ ค่ะ
@ แต่ละท่านทำตามสิ่งที่ชอบ ปลูกต้นไม้ หรือแม้ทำทุจริต ฟังธรรมเพื่ออะไรคะ เพื่อไม่ปลูกต้นไม้ ไม่ทำสิ่งที่ชอบ ห้ามไม่ให้อกุศล ไม่ให้ทุจริตหรือเปล่าคะ นั่นไม่ใช่ทางสายกลาง เพราะขณะที่ปลูกต้นไม้ ทำสิ่งที่ชอบหรือทำอกุศลประการต่างๆ ก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา ทางสายกลางที่ยากจะเข้าใจ แต่เป็นทางที่ถูก คือเข้าใจแม้ขั้นการฟังว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ค่ะ
@ แต่เพราะไม่เข้าใจ อกุศลเกิดก็ไม่เข้าใจ เราจะเว้นตรงนั้น จะเว้นตรงนี้ แต่ดูหนังก็เข้าใจ หัวเราะก็เข้าใจ ทำอกุศลก็เข้าใจ เพราะปัญญาทำให้เข้าใจทุกอย่างเข้าใจได้ ปัญญาจึงประเสริฐสุด เพราะรู้ได้ทุกอย่าง ค่ะ
@ บางคนก็คิดว่า ติดแล้วก็ติดไป แต่ในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่มรรค ทางสายกลางลึกซึ้งอย่างยิ่ง คือมีเหตุปัจจัยเกิดแล้วแม้สภาพธรรมแต่ละขณะ โลภะ โทสะ โมหะ เห็น ได้ยิน เพราะฉะนั้น ความเป็นตัวตนไม่ยอมหรอก เพราะจะทำ จะละ ค่ะ
ขออนุโมทนา
สาธุๆ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อกุศล เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นธรรมฝ่ายดำเป็นธรรมที่เป็นพิษ ไม่นำประโยชน์อะไรมาให้เลย ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น และอกุศลไม่ได้อยู่ในตำรา แต่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ อกุศลจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ทั้งหมดเป็นอกุศล เนื่องจากแต่ละคนแต่ละท่านได้สะสมอกุศลมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์นับชาติไม่ถ้วน เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย อกุศลก็เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง เช่น เวลาโกรธ ไม่สบายใจ ไม่พอใจ ถ้าโกรธมาก ก็อาจจะไปทำร้ายเบียดเบียนคนอื่นได้ ทั้งนี้ เพราะเคยสะสมโทสะมาแล้ว เวลาโลภะเกิด ก็มีความติดข้องต้องการ เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็เกิดโทสะ เกิดความไม่พอใจ แต่เมื่อได้มาตามที่ต้องการแล้ว ก็ต้องรักษาไว้อย่างดี กลัวสูญหาย ซึ่งเป็นเรื่องหนัก เป็นเรื่องเหนื่อยอย่างยิ่ง
ที่เป็นคนโลภมาก ติดข้องมาก เห็นอะไร ก็อยากได้ไปหมด ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ ตลอดจนถึงที่เป็นคนมีโทสะมาก เห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจไปทุกเรื่อง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอกุศล เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ นี้คือความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่ง และทุกขณะที่จิตเป็นอกุศล จะมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ในชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าต่อไปก็สะสมเป็นบุคคลอย่างนี้ ทำให้เป็นผู้เต็มไปด้วยอกุศลมากยิ่งขึ้น และถ้าสะสมมีกำลังมากขึ้นถึงขั้นกระทำอกุศลกรรมมีการฆ่าสัตว์เบียดเบียนบุคคลอื่น เป็นต้น การกระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ นั้นก็เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ คือภูมิที่ไม่มีความเจริญในธรรม อันได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉานได้ ทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากอกุศลทั้งหมดซึ่งจะต่างกันกับขณะที่เป็นกุศลอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้เข้าใจได้ ว่า อกุศลทุกประการ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรประมาทในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แต่ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม การศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ไม่ขาดการฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลาอกุศลของตนเองต่อไป ซึ่งเป็นหนทางเดียว ที่จะขจัดอกุศลให้ห่างไกลจากจิตได้ ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
จะละกิเลสที่สะสมมามาก ก็ต้องฟังธรรมศึกษาธรรม สนใจธรรม คบสัตบุรุษ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ