[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 1
เอกธัมมาทิปาลิ
รูปาทิวรรคที่ ๑
ว่าด้วยสิ่งที่ครอบงําจิตใจบุรุษและสตรี
รูปาทิวรรคที่ ๑ ว่าด้วยสิ่งที่ครอบงําจิตใจบุรุษและสตรี 1/1
มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกาย
อรรถกถาเอกนิบาต 4
อารัมภกถา 4
อรรถกถารูปาทิวรรคที่ ๑ 7
อรรถกถาสูตรที่ ๑ 7
ความหมายของ สมย ศัพท์ 17
ความหมายของบท ภควา 22
ความหมายของบท ภิกขุ 27
เหตุตั้งพระสูตร 30
อรรถกถาสูตรที่ ๒ 36
อํานาจของเสียงหญิง 36
อรรถกถาสูตรที่ ๓ กลิ่นหญิง 40
อรรถกถาสูตรที่ ๔ รสหญิง 41
อรรถกถาสูตรที่ ๕ สัมผัสหญิง 42
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 1
พระสุตตันตปิฎก
อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต
เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๑
เอกธัมมาทิปาลิ
บาลีแห่งเอกธรรมเป็นต้น
รูปาทิวรรคที่ ๑
ว่าด้วยสิ่งที่ครอบงำจิตใจบุรุษและสตรี
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
[๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษ ตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 2
รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษ ตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษ ตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษ ตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฎฐัพพะอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของบุรุษ ตั้งอยู่เหมือนโผฎฐัพพะสตรีเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โผฎฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรี ตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรี ตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 3
[๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรี ตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๑๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรี ตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฎฐัพพะอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่จะครอบงำจิตของสตรี ตั้งอยู่เหมือนโผฎฐัพพะบุรุษเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โผฎฐัพพะของบุรุษ ย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
จบ รูปาทิวรรคที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 4
มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกาย
อรรถกถาเอกนิบาต
อารัมภกถา
ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆสาจารย์) ขอไหว้พระสุคต ผู้หลุดพ้นจากคติ ผู้มีพระทัยเยือกเย็น ด้วยพระกรุณา ผู้มีมืด คือโมหะ อันแสงสว่างแห่งปัญญาขจัดแล้ว ผู้เป็นครูของชาวโลก พร้อมทั้งมนุษย์ และเทวดา
พระพุทธเจ้าทรงเจริญ และทำให้แจ้งคุณ เครื่องเป็นพระพุทธเจ้า เข้าถึงธรรมใดอัน ปราศจากมลทิน ข้าพเจ้าขอไหว้ธรรมนั้น อันยอดเยี่ยม.
ข้าพเจ้าขอไหว้ด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระอริยสงฆ์ทั้ง ๘ ผู้เป็นโอรสของพระตถาคตเจ้า ผู้ย่ำยีเสีย ซึ่งกองทัพมาร.
บุญใด สำเร็จด้วยการไหว้พระรัตนตรัยของข้าพเจ้า ผู้มีจิตเลื่อมใสดังกล่าวมาฉะนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่อานุภาพแห่งบุญนั้น ช่วยขจัดอันตรายแล้ว จักถอดภาษาสีหล ออกจากคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งพระ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 5
อรหันต์ผู้เชี่ยวชาญ ๕๐๐ องค์ สังคายนามาแต่ต้น และสังคายนาต่อๆ มา แม้ภายหลัง ท่านพระมหินทเถระนำมายังเกาะสีหล จัดทำไว้เป็นภาษาสีหล เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ชาวเกาะ แล้วยกขึ้นสู่ภาษาที่น่ารื่นรมย์ ควรแก่นัยแห่งพระบาลี คือทำเป็นภาษามคธ ไม่ให้ขัดแย้งลัทธิสมัย ซึ่งปราศจากโทษของเหล่าพระเถระ ประทีปแห่งเถรวงศ์ ผู้อยู่ในมหาวิหาร ซึ่งมีวินิจฉัยละเอียดดี ละเว้นข้อความความที่ซ้ำซากเสียแล้ว ประกาศเนื้อความแห่งคัมภีร์อังคุตตรนิกาย อันประเสริฐ อันประดับด้วยเอกนิบาต ทุกนิบาต ติกนิบาต เป็นต้น เพื่อให้อรรถแจ่มแจ้ง สำหรับให้เกิดปฏิภาณอันวิจิตร แก่เหล่าพระธรรมกถึกที่ดี ซึ่งข้าพเจ้าเมื่อกล่าวเนื้อความ แห่งคัมภีร์ทีฆนิกาย และคัมภีร์มัชณิมนิกาย ภายหลังจึงพรรณนาเรื่องราวของพระนครทั้งหลาย มีกรุงสาวัตถี เป็นต้น ให้สาธุชนยินดี และเพื่อให้พระธรรมตั้งอยู่ยั่งยืน ได้ยินว่าเรื่องเหล่าใด ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ทั้งสองนั้น (ทีฆ, มัชฌิม) พิสดารในคัมภีร์อังคุตตรนิกายนี้ ข้าพเจ้าจักไม่กล่าวเรื่องเหล่านั้น ให้พิสดารยิ่งขึ้นไปอีก แต่สำหรับสูตรทั้งหลาย เนื้อความเหล่าใด เว้นเรื่องราวเสีย จะไม่แจ่มแจ้ง ข้าพเจ้าจักกล่าวเรื่องราวทั้งหลายไว้ เพื่อความแจ่มแจ้งแห่งเนื้อความเหล่านั้น.
พระพุทธวจนะนี้ คือ ศีลกถา ธุดงคธรรม กรรมฐานทั้งหมด ความพิสดารของฌาน และสมาบัติ ที่ประกอบด้วยวิธีปฏิบัติ อภิญญาทั้งหมด คำวินิจฉัยทั้งสิ้น อันเกี่ยวด้วยปัญญา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ อริยสัจ ๔ ปัจจยาการเทศนา มีนัยอันหมดจดละเอียด ซึ่งไม่พ้นจากแนวพระบาลี และวิปัสสนาภาวนา แต่เพราะเหตุที่พระ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 6
พุทธวจนะที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ในวิสุทธิมรรคอย่างหมดจดดี ฉะนั้นในที่นี้ ข้าพเจ้าจักไม่วิจารณ์เรื่องทั้งหมดนี้ ให้ยิ่งขึ้นไป เพราะปกรณ์พิเศษ ชื่อว่าวิสุทธิมรรคนี้ ที่ข้าพเจ้ารจนาไว้แล้วนั้น ดำรงอยู่ท่ามกลางแห่งนิกายทั้ง ๔ จักประกาศข้อความ ตามที่ได้กล่าวไว้ ในนิกายทั้ง ๔ นั้น ฉะนั้น ขอสาธุชนทั้งหลาย จงถือเอาปกรณ์วิเศษ ชื่อวิสุทธิมรรคนั้น พร้อมด้วยอรรถกถานี้ แล้วจักทราบข้อความ ตามที่อ้างอิงคัมภีร์อังคุตตรนิกายแล.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 7
อรรถกถารูปาทิวรรคที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๑
ในคัมภีร์เหล่านั้น คัมภีร์ ชื่อว่า อังคุตตรนิกาย มี ๑๑ นิบาต คือ เอกนิบาต ทุกนิบาต ติกนิบาต จตุกกนิบาต ปัญจกนิบาต ฉักกนิบาต สัตตกนิบาต อัฎฐกนิบาต นวกนิบาต ทสกนิบาต เอกาทสกนิบาต
ว่าโดยสูตร อังคุตตรนิกาย มี ๙,๕๕๗ สูตร บรรดานิบาต แห่งอังคุตตรนิกายนั้น เอกนิบาต เป็นนิบาตต้น บรรดาสูตร จิตตปริยายสูตร เป็นสูตรต้น คำนิทาน แม้แห่งสูตรนั้นมีว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น ท่านพระอานนท์กล่าวไว้ ในกาลมหาสังคีติ ครั้งแรกเป็นต้น มหาสังคีติครั้งแรกนี้นั้น กล่าวไว้พิสดารแล้ว ในเบื้องต้นแห่งอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อว่า สุมังคลวิลาสินี เพราะฉะนั้น มหาสังคีติครั้งแรกนั้น พึงทราบโดยพิสดาร ในอรรถกถาทีฆนิกายนั้น นั่นแล.
ก็บทว่า เอวํ ในคำนิทานวจนะว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น เป็นบทนิบาต บทว่า เม เป็นบทนาม บทว่า วิ ในบทว่า สาวตฺถิยํ วิหรติ นี้ เป็นบทอุปสรรค. บทว่า หรติ เป็นบทอาขยาต. พึงทราบการจำแนก บทโดยนัยนี้ก่อน.
แต่เมื่อว่าโดยอรรถ ก่อนอื่น เอวํ ศัพท์มีอรรถหลายประเภท อาทิเช่น อุปมา เปรียบเทียบ, อุปเทส แนะนำ, สัมปหังสนะ ยกย่อง, ครหณะ ติเตียน, วจนสัมปฏิคคหณะ รับคำ, อาการะ อาการ, นิทัสสนะ ตัวอย่าง, และอวธารณะ กันความอื่น, จริงอย่างนั้น เอวํ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 8
ศัพท์นั้น มาในอุปมาเปรียบเทียบ ในคำเป็นต้นอย่างนี้ว่า เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุํ สัตว์ผู้เกิดมาแล้วควรทำกุศลให้มากฉันนั้น. มาใน อุปเทสะ แนะนำในคำเป็นต้นว่า เอวนฺเต อภิกฺกมิตพฺพํ เอวํ ปฏิกฺกมิตพฺพํ ท่านพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้. มาใน สัมปหังสนะ ยกย่อง ในคำเป็นต้นว่า เอวเมตํ ภควา เอวเมตํ สุคต ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคตข้อนั้นเป็นอย่างนั้น. มาในครหณะ ติเตียน ในคำเป็นต้นอย่างนี้ เอวเมว ปนายํ วสลี ยสฺมึ วา ตสฺมึ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส วณฺณํ ภาสติ (ก็หญิงถ่อยนี้ ย่อมกล่าวคุณของสมณะโล้น ไม่ว่าในที่ไรๆ อย่างนี้ทีเดียว.) มาใน วจนสัมปฏิคคหณะ รับคำ ในคำเป็นต้นว่า เอวํ ภนฺเตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ภิกษุเหล่านั้นรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
มาในอาการะอาการ ในคำเป็นต้นว่า เอวํ พฺยา โข อหํ ภนฺเต ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ท่านขอรับกระผมรู้ทั่วถึงธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้.
มาใน นิทัสสนะ ตัวอย่าง ในคำเป็นต้นว่า เอหิ ตฺวํ มาณวก ฯเปฯ เอวญฺจ วเทหิ สาธุ กิร ภวํ อานนฺโท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทาย มาเถิดมาณพ ท่านจงเข้าไปหาพระสมณะอานนท์ ถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จงถามความมีอาพาธน้อย ความมีโรคน้อย ความคล่องแคล่ว กำลังวังชา การอยู่ผาสุก กะพระสมณะอานนท์ ตามคำของเราว่า สุภมาณพ โตเทยยบุตร
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 9
ถามถึงความมีอาพาธน้อย ความมีโรคน้อย ความคล่องแคล่ว กำลังวังชา การอยู่ผาสุก กะท่านพระอานนท์ และจงกล่าวอย่างนี้ว่า ดีละ ขอท่านพระอานนท์ โปรดอาศัยความกรุณา เข้าไปยังนิเวศน์ของสุภมาณพ โตเทยยบุตร เถิด.
มาใน อวธารณะ กันความอื่น ในคำเป็นต้นว่า ตํ กึ มญฺถ กาลามา ฯเปฯ เอวํ โน เอตฺถ โหติ ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล หรืออกุศล? เป็นอกุศลพระเจ้าข้า มีโทษหรือไม่มีโทษ? มีโทษพระเจ้าข้า วิญญูชนติเตียน หรือสรรเสริญ? วิญญูชนติเตียนพระเจ้าข้า. บุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ หรือไม่เป็นไป หรือในข้อนั้นเป็นอย่างไร? พระเจ้าข้า อันบุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์, ในข้อนี้พวกข้าพระองค์เห็นอย่างนี้.
เอวํ ศัพท์นี้นั้น ในที่นี้พึงเห็นว่า ใช้ในอรรถว่า อาการะ นิทัสสนะ และอวธารณะ
บรรดาอรรถ ๓ อย่างนั้น ด้วย เอวํ ศัพท์ มีอาการะเป็นอรรถ พระเถระแสดงถึงอรรถนี้ว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ละเอียดด้วยนัยต่างๆ มีอัธยาศัยเป็นอันมาก สมบูรณ์ ด้วยอรรถและพยัญชนะ มีปาฏิหาริย์ต่างๆ ลึกโดยธรรม, อรรถ, เทศนา, และปฏิเวธ มาปรากฏทางโสตทวารแห่งสรรพสัตว์ ตาม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 10
สมควรแก่ภาษาของตนๆ ใครเล่า จะสามารถทราบได้โดยอาการทั้งปวง แต่ข้าพเจ้าทำความอยากฟังให้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยเรี่ยวแรงทุกอย่าง ได้ฟังมาแล้วด้วยอาการอย่างนี้ คือ ข้าพเจ้าเองได้ฟังมาแล้ว ด้วยอาการอย่างหนึ่ง
ด้วย เอวํ ศัพท์ มีนิทัสสนะเป็นอรรถ พระเถระเมื่อจะเปลื้องตนว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่พระสยัมภู พระสูตรนี้ ข้าพเจ้ามิได้ทำให้แจ้ง จึงแสดงสูตรทั้งสิ้น ที่จะควรกล่าวในบัดนี้ว่า เอวมฺเม สุตํ แปลว่า แม้ข้าพเจ้าก็ได้สดับแล้วอย่างนี้.
ด้วย เอวํ ศัพท์ อันมีอวธารณะเป็นอรรถ พระเถระ เมื่อจะแสดงกำลังแห่งความทรงจำของตน อันสมควรแก่ความเป็นผู้มีพระผู้มีพระภาคเจ้า สรรเสริญแล้ว อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวก ผู้พหูสูตของเรา อานนท์เป็นเลิศ บรรดาภิกษุสาวกของเรา ผู้มีสติ ผู้มีคติ ผู้มีธิติ ผู้อุปัฏฐาก อานนท์เป็นเลิศ และเป็นผู้ที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร สรรเสริญว่า ท่านอานนท์เป็นผู้ฉลาดในอรรถ ฉลาดในธรรม ฉลาดในพยัญชนะ ฉลาดในนิรุกติ ฉลาดในอนุสนธิเบื้องต้น และเบื้องปลาย จึงยังความเป็นผู้ใคร่ เพื่อจะฟังของสัตว์ทั้งหลาย ให้เกิดว่า เราได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ ก็สูตรนั้นแล ไม่ขาดไม่เกิน โดยอรรถหรือโดยพยัญชนะ พึงเห็นอย่างนี้แหละ ไม่พึงเห็นโดยประการอื่น.
เม ศัพท์ ปรากฏในอรรถ ๓ อย่าง จริงอย่างนั้น เม ศัพท์นั้น มีอรรถว่า มยา (อันเรา) ในคำเป็นต้นว่า คาถาภิคีตํ เม อโภชนียํ โภชนะที่ได้มาเพราะขับคำร้อยกรอง อันเราไม่ควรบริโภค. เม ศัพท์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 11
มีอรรถว่า มยฺหํ (แก่เรา) ในคำเป็นต้นว่า สาธุ เม ภนฺเต ภควา สงฺขิตฺเตน ธมฺมํ เทเสตุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาธุ! ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงแสดงธรรมโดยย่อ แก่ข้าพระองค์เถิด. เม ศัพท์ มีอรรถว่า มม (ของเรา) ในคำเป็นต้นว่า ธมฺมทายาทา เม ภิกฺขเว ภวถ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นธรรมทายาท ของเรา. แต่ในที่นี้ใช้ในอรรถทั้ง ๒ คือ มยา สุตํ อันข้าพเจ้าฟังมาแล้ว และว่า มม สุตํ การฟังของข้าพเจ้า.
ศัพท์ว่า สุต ในบทว่า สุตํ นี้ ทั้งที่มีอุปสรรค และทั้งที่ไม่มีอุปสรรค มีประเภทแห่งอรรถเป็นอันมาก เช่น คมนะ ไป, วิสุตตะ ปรากฏ, กิลินนะ ชุ่ม, อุปจิตะ สำรวม, อนุยุตตะ ขวนขวาย, โสตวิญเญยยะ เสียงที่รู้ด้วยโสต, และโสตทวารานุสสาเรนะ วิญญานะ รู้ทางโสตทวาร เป็นต้น
จริงอย่างนั้น สุตํ ศัพท์นั้น มีอรรถว่า ไป ในคำเป็นต้นว่า เสนาย ปสุโต ไปในกองทัพ. เมื่ออรรถว่าเป็นธรรมปรากฏแล้ว ในคำเป็นต้นว่า สุตฺธมฺมสฺส ปสฺสโต ผู้มีธรรมปรากฏแล้ว เห็นอยู่. อรรถว่า ภิกษุณีผู้ชุ่มด้วยราคะต่อบุรุษผู้ชุ่มด้วยราคะ ในคำเป็นต้นว่า อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ภิกษุณีผู้กำหนัดด้วยราคะ ต่อบุรุษผู้กำหนัดด้วยราคะ อรรถว่า สั่งสม ในคำเป็นต้นว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺํ ปสุตํ อนปฺปกํ ท่านสั่งสมบุญไว้มิใช่น้อย. อรรถว่า ขวนขวายในฌาน ในคำเป็นต้นว่า เย ฌานปสุตา ธีรา นักปราชญ์เหล่าใด ผู้ขวนขวายในฌาน อรรถว่า เสียงที่รู้ด้วยโสต ในคำเป็นต้นว่า ทิฏฺํ สุตํ มุตํ รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 12
อารมณ์ที่รู้, อรรถว่า ทรงความรู้ตามกระแสโสตทวาร ในคำเป็นต้นว่า สุตธโร สุตสนฺนิจฺจโย ผู้ทรงความรู้สั่งสมความรู้. แต่ในที่นี้ สุต ศัพท์มีอรรถว่า อุปธาริตํ ทรงไว้ทางโสตทวาร หรือว่า อุปธารณํ ความทรงจำ. จริงอยู่ เมื่อ เม ศัพท์มีอรรถว่า มยา ความว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ คือเข้าไปทรงจำ ตามกระแสแห่งโสตทวารก็ถูก. เมื่อมีอรรถว่า มม ความว่า การฟังของข้าพเจ้าอย่างนี้ คือการทรงจำ ตามกระแสแห่งโสตทวารก็ถูก.
บรรดาบททั้ง ๓ นั้น ดังว่ามานี้ บทว่า เอวํ เป็นบทแสดงกิจ คือหน้าที่ของวิญญาณ มีโสตวิญญาณ เป็นต้น บทว่า เม เป็นบทแสดงบุคคลที่พรั่งพร้อม ด้วยวิญญาณดังกล่าวแล้ว บทว่า สุตํ เป็นบทแสดงถึงการถือเอา ไม่ขาดไม่เกิน ไม่วิปริต เพราะปฏิเสธภาวะที่ไม่ได้ยิน อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นบทประกาศว่า วิญญาณวิถีที่เป็นไปแล้ว ตามกระแสแห่งโสตทวารนั้น เป็นไปในอารมณ์ โดยประการต่างๆ. บทว่า เม เป็นบทประกาศตน. บทว่า สุตํ เป็นบทประกาศธรรม. ก็ในที่นี้ มีความสังเขปดังนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่กระทำกิจอย่างอื่น แต่กิจนี้ข้าพเจ้าทำแล้ว ธรรมนี้ข้าพเจ้าฟังมาแล้ว โดยวิญญาณวิถี ที่เป็นไปในอารมณ์ โดยประการต่างๆ.
อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นบทประกาศอรรถ ที่จะพึงชี้แจง. บทว่า เม เป็นบทประกาศบุคคล. บทว่า สุตํ เป็นบทประกาศกิจของบุคคล. ท่านอธิบายไว้ว่า ข้าพเจ้าชี้แจงพระสูตรใด พระสูตรนั้น ข้าพเจ้าฟังมาแล้วอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 13
อนึ่ง ศัพท์ว่า เอวํ แสดงอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ที่ถือเอาอรรถ และพยัญชนะต่างๆ เพราะจิตสันดานเป็นไปต่างๆ กัน จริงอยู่ ศัพท์ว่า เอวํ นี้ แสดงถึงบัญญัติ คือการรู้โดยอาการ. ศัพท์ว่า เม แสดงถึงผู้ทำ. ศัพท์ว่า สุตํ แสดงอารมณ์. ด้วยคำเพียงเท่านี้ การตกลงโดยยึดเอาผู้ทำอารมณ์ของท่าน ผู้พรั่งพร้อมด้วยจิตสันดานนั้น เป็นอันกระทำแล้ว ด้วยจิตสันดาน อันเป็นไปโดยประการต่างๆ.
อีกอย่างหนึ่ง เอวํ ศัพท์ แสดงกิจของบุคคล สุตํ ศัพท์ แสดงกิจของวิญญาณ เม ศัพท์ แสดงบุคคลผู้ประกอบกิจทั้ง ๒ ก็ในที่นี้ มีความสังเขปดังนี้ว่า ข้าพเจ้าเป็นบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยวิญญาณ ซึ่งมีกิจคือการฟัง ได้ฟังมาแล้ว โดยโวหารว่า กิจ คือการฟังที่ได้มา เนื่องด้วยวิญญาณ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ และบทว่า เม เป็นอวิชชมานบัญญัติ บัญญัติสิ่งที่ไม่มีอยู่ ด้วยสามารถแห่งสัจฉิกัฎฐ์ และปรมัตถ จริงอยู่ในที่นี้ คำที่จะพึงได้นิเทศว่า เอวํ หรือว่า เม เมื่อว่าโดยปรมัตถ จะมีอยู่ด้วยหรือ บทว่า สุตํ เป็นวิชชมานบัญญัติ บัญญัติสิ่งที่มีอยู่ คือ ในที่นี้สิ่งที่ได้มาด้วยโสตวิญญาณนั้น มีอยู่โดยปรมัตถ. บทว่า เอวํ และว่า เม เป็นอุปาทายบัญญัติเพราะอาศัยสิ่งที่ได้มา ด้วยโสตะนั้นๆ กล่าวโดยประการนั้น. บทว่า สุตํ เป็นอุปนิธายบัญญัติ (บัญญัติในการตั้งไว้) เพราะเก็บเอาสิ่งที่เห็นแล้วเป็นต้น มากล่าว อนึ่งบรรดาคำทั้ง ๒ นั้น ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงถึงความ ไม่หลง จริงอยู่ ผู้หลง ย่อมไม่สามารถจะเข้าใจได้ โดยประการต่างๆ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 14
ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ลืมข้อที่ฟังแล้ว. จริงอยู่ ผู้ใดฟังแล้วแต่ลืมเสีย ต่อมาผู้นั้นก็รับรองไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าฟังมาแล้ว ดังนั้นพระอานนท์นั้น ชื่อว่าสำเร็จด้วยปัญญา เพราะความไม่หลงชื่อว่า สำเร็จด้วยสติ เพราะความไม่ลืม บรรดาปัญญาและสตินั้น ความที่สติซึ่งมีปัญญาเป็นตัวนำ สามารถจะทรงจำพยัญชนะได้ ความที่ปัญญาซึ่งมีสติเป็นตัวนำ สามารถเข้าใจอรรถได้ ชื่อว่า สำเร็จด้วยความเป็นธรรมภัณฑาคาริก เพราะสามารถอนุรักษ์คลังธรรม ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ เพราะประกอบด้วยความสามารถทั้ง ๒ อย่างนั้น.
อีกนัยหนึ่ง ก็ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์ แสดงความใส่ใจโดยแยบคาย เพราะเมื่อใส่ใจโดยไม่แยบคาย ก็ไม่เข้าใจโดยประการต่างๆ ได้ ก็ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงถึง ความไม่ฟุ้งซ่าน แม้เขาจะพูดโดยถูกต้องทุกอย่าง ก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ท่านจงกล่าวอีก ก็ด้วยการใส่ใจโดยแยบคายในข้อนี้ ย่อมให้สำเร็จอัตตสัมมาปณิธิ ความตั้งตนไว้ชอบ และบุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้มีบุญอันได้ทำไว้ในปางก่อน เพราะผู้ที่ไม่ตั้งตนไว้ชอบ และไม่กระทำบุญไว้ในปางก่อน ก็เป็นอย่างอื่น คือไม่มีโยนิโสมนสิการ ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ก็ให้สำเร็จสัทธัมมัสสวนะ การฟังพระสัทธรรม และสัปปุริสูปสังสยะ การเข้าไปคบหาสัตบุรุษ. เพราะผู้ที่มีจิตฟุ้งซ่านไม่อาจฟัง และเมื่อไม่เข้าไปหาสัตบุรุษ การฟังก็ไม่มีแล.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 15
อีกนัยหนึ่ง เพราะเหตุที่กล่าวมาแล้วว่า ศัพท์ว่า เอวํ แสดงอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ที่ถือเอาอรรถและพยัญชนะต่างๆ เพราะจิตสันดานเป็นไปต่างๆ กัน และจิตสันดานนั้น ก็คืออาการอันงามอย่างนี้ ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ตั้งตนไว้ชอบ หรือแก่ผู้ไม่กระทำบุญไว้ในปางก่อน ฉะนั้น ด้วยคำว่า เอวํ นี้ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติ คือ จักรธรรม ๒ ข้อหลังของตน ด้วยอาการอันงาม แสดงสมบัติ คือ จักรธรรม ๒ ข้อแรก โดยประกอบการฟังด้วยบทว่า สุตํ. เพราะผู้อยู่ในประเทศอันไม่สมควร และผู้เว้นจากการเข้าไปคบหาสัตบุรุษ การฟังก็ไม่มี ดังนั้น ท่านพระอานนท์นั้น จึงสำเร็จอาสยสุทธิ ความหมดจดแห่งอาสยะ เพราะความสำเร็จแห่งจักรธรรม ๒ ข้อหลัง สำเร็จปโยคสุทธิ ความหมดจดแห่งการประกอบ เพราะความสำเร็จแห่งจักรธรรม ๒ ข้อข้างต้น และท่านพระอานนท์ สำเร็จความเชี่ยวชาญในอาคม (นิกายทั้ง ๕) ก็เพราะอาสยสุทธิ ความหมดจดแห่งอาสยะนั้น. สำเร็จความเชี่ยวชาญในอธิคม (มรรคผล) ก็เพราะปโยคสุทธิ ความหมดจดแห่งประโยค ดังนั้น คำของพระอานนท์ ผู้หมดจดด้วยประโยค การประกอบและอาสยะ อัธยาศัยผู้ถึงพร้อม ด้วยอาคมและอธิคม จึงควรจะเป็นเบื้องต้น (ตัวนำ) แห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนอรุณขึ้น เป็นเบื้องต้นของอาทิตย์อุทัย และเหมือนโยนิโสมนสิการ เป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรมฉะนั้น เพราะฉะนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อตั้งนิทานวจนะ คำเริ่มต้นในฐานที่ควร จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
อีกนัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์ แสดงสภาวะแห่งสมบัติ คือ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 16
อรรถปฎิสัมภิทาและปฎิภาณปฎิสัมภิทาของตน ด้วยคำอันแสดงถึง ความรู้แจ้งด้วยประการต่างๆ ด้วยคำว่า เอวํ นี้. แสดงสภาวะแห่งสมบัติ คือ ธรรมปฏิสัมภิทา และนิรุตติสัมภิทา ด้วยคำอันแสดงถึงความรู้แจ้งประเภทแห่งธรรมที่ควรฟังด้วยคำว่า สุตํ นี้. พระเถระเมื่อกล่าวถึงคำ อันแสดงโยนิโสมนสิการนี้ว่า เอวํ ย่อมแสดงว่า ธรรมเหล่านี้ เราเพ่งพินิจแล้วด้วยใจ ขบคิดดีแล้วด้วยทิฏฐิ พระเถระเมื่อกล่าวถึงคำ อันแสดงการประกอบเนืองๆ ซึ่งการฟังนี้ว่า สุตํ ย่อมแสดงว่า ธรรมเป็นอันมาก เราฟังแล้ว ทรงจำแล้ว คล่องปากแล้ว แม้ด้วยคำทั้ง ๒ นั้น พระเถระเมื่อแสดงความบริบูรณ์แห่งอรรถ และพยัญชนะ จึงทำให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟัง. จริงอยู่ บุคคลเมื่อไม่ฟังธรรมที่บริบูรณ์ ด้วยอรรถและพยัญชนะ ด้วยความเอื้อเฟื้อ ย่อมเหินห่างจากประโยชน์เกื้อกูลเป็นอันมาก เพราะฉะนั้น ควรทำความเอื้อเฟื้อให้เกิดแล้ว ฟังธรรมโดยความเคารพเถิด.
อนึ่งด้วยคำทั้งสิ้นว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่ตั้งธรรม ที่ตถาคตประกาศแล้วไว้กับตน ชื่อว่าก้าวล่วงภูมิอสัตบุรุษ เมื่อปฎิญญาความเป็นพระสาวก ชื่อว่าหยั่งลงสู่ภูมิสัตบุรุษ. อนึ่ง ทำจิตให้ออกจากอสัทธรรม ชื่อว่า ตั้งจิตไว้ในสัทธรรม. เมื่อแสดงว่า อ้างอิงพระดำรัสของพระชินเจ้า ชื่อว่า ดำรงธรรมเนตติไว้ (เนตติ คือ ชักนำสัตว์ในประโยชน์โลกนี้ ประโยชน์โลกหน้า และปรมัตถประโยชน์ ตามควร)
อีกนัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์เมื่อไม่ปฏิญาณว่า ธรรมนั้นตนทำให้เกิดขึ้น จึงไขคำเบื้องต้นว่า เอวมฺเม สุตํ กำจัดความไม่มีศรัทธา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 17
ทำสัทธาสมบัติให้เกิดขึ้นในธรรมนี้ แก่เทวดาและมนุษย์ทุกเหล่าว่า พระดำรัสนี้เรารับแล้ว ในที่เฉพาะพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชชญาณ ๔ ผู้ทรงไว้ซึ่งพลญาณ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะอันประเสริฐ. ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ทั้งปวง ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ผู้เป็นพระธรรมราชา เป็นธรรมาธิบดี ผู้มีธรรมเป็นประทีป ผู้มีธรรมเป็นที่พึง ผู้หมุนล้อคือพระสัทธรรมอันประเสริฐ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จึงไม่ควรทำความสงสัย หรือความเคลือบแคลง ในอรรถ ธรรม บท หรือพยัญชนะในคำนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า
วินาสยติ อสฺสทฺธํ สทฺธํ วฑฺเฒติ สาสเน
เอวมฺเม สุตมิจฺเจวํ วทํ โคตมสาวโก
สาวกของพระโคดม เมื่อกล่าวอย่างนี้ว่า เอวมฺเม สุตํ ชื่อว่าทำความไม่มีศรัทธาให้พินาศ ทำศรัทธาในพระศาสนาให้เจริญ
ศัพท์ว่า เอกํ แสดงการกำหนดจำนวน ศัพท์ว่า สมยํ แสดงกาลที่กำหนดไว้แล้ว คำว่า เอกํ สมยํ เป็นคำแสดงเวลาไม่แน่นอน สมยศัพท์ ในคำว่า เอกํ สมยํ นั้น ใช้ในสมวายะ พร้อมเพรียง ๑ ขณะ ๑ กาล ๑ สมุหะ ชุมนุม ๑ เหตุ ๑ ทิฏฐิ ความเห็น ๑ ปฏิลาภะ การได้เฉพาะ ๑ ปหานะ การละ ๑ ปฏิเวธ การแทงตลอด ๑.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 18
จริงอย่างนั้น สมย ศัพท์ มีอรรถว่า สมวายะ พร้อมเพรียง ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า อปฺเปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทาย ถ้ากระไร แม้พรุ่งนี้ เราทั้งหลาย พึงอาศัยกาละ และความพร้อมเพรียงกันเข้าไป.
มีอรรถว่า ขณะ ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า เอโก จ โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสาย ภิกษุทั้งหลาย ขณะ และสมัยหนึ่ง มีเพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์แล.
มีอรรถว่า กาล ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย คราวร้อน คราวกระวนกระวาย.
มีอรรถว่า สมุหะ ประชุม ในคำมีอาทิอย่างนี้ มหาสมโย ปวนสฺมึ ประชุมใหญ่ในป่าใหญ่. มีอรรถว่า เหตุ ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า สมโย ปิ โข เต ฯเปฯ อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ แม้เหตุแล ได้เป็นเหตุ ที่เธอไม่รู้แจ้งว่า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล เสด็จอยู่ในกรุงสาวัตถี. แม้พระองค์จักทรงทราบเราว่า ภิกษุชื่อภัททาลิ มิใช่ผู้มีปกติทำให้บริบูรณ์ ด้วยสิกขาในศาสนาของพระศาสดา ดูก่อน ภัททาลิ เหตุแม้นี้แล ได้เป็นเหตุที่เธอไม่รู้แจ้งแล้ว.
มีอรรถว่า ลัทธิ ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า เตน โข ปน สมเยน ฯเปฯ สมยปฺปวาทเก ติณฺฑุกาจิเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฏิวสติ ก็สมัยนั้นแล ปริพาชกชื่อ อุคคาหมานะ บุตรของสมณมุณฑิกา อาศัยอยู่ในอารามของพระนางมัลลิกา มีศาลาหลังเดียว มีต้นมะพลับเรียงราย อันเป็นที่สอนลัทธิ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 19
มีอรรถว่าได้เฉพาะ ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า
ทิฏฺเ ธมฺเม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโก อตฺถาภิสมายา ธีโร ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ
ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องทรงจำ เราเรียกว่า บัณฑิต เพราะการได้เฉพาะ ซึ่งประโยชน์ทั้งภพนี้และ ภพหน้า.
มีอรรถว่า ปหานะ ละ ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า สมฺมามานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺส ภิกษุนี้ได้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ เพราะละมานะโดยชอบ.
มีอรรถว่า ปฏิเวธ แทงตลอด ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า ทุกฺขสฺส ปีฬนฏฺโ ฯลฯ วิปริณามฏฺโ อภิสมยฏฺโ ทุกข์ มีอรรถว่าบีบคั้น ปรุงแต่ง เร่าร้อน แปรปรวน แทงตลอด.
แต่ในที่นี้ สมย ศัพท์นั้น มีอรรถว่า กาล.
ด้วยคำนั้น พระเถระแสดงว่า สมัยหนึ่ง ในบรรดาสมัยทั้งหลาย อันเป็นประเภทแห่งกาล เป็นต้นว่า ปี ฤดู เดือน กึ่งเดือน กลางคืน กลางวัน เช้า เที่ยง เย็น ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม และครู่.
ในคำว่า เอกํ สมยํ นั้น บรรดาสมัย มีปีเป็นต้นเหล่านั้น พระสูตรใดๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ในปี ฤดู เดือน ปักษ์ ส่วนแห่งราตรี ส่วนแห่งวันไรๆ ทั้งหมดนั้น พระเถระรู้ดีแล้ว กำหนดดีแล้ว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 20
ด้วยปัญญาแม้โดยแท้ ถึงอย่างนั้น เมื่อพระเถระกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า ในปีโน้น ฤดูโน้น เดือนโน้น ปักษ์ โน้น กาลอันเป็นส่วนแห่งราตรีโน้น ส่วนแห่งวันโน้น ใครๆ ก็ไม่สามารถจะทรงจำได้ หรือแสดงได้ หรือให้ผู้อื่นแสดงได้โดยง่าย และเป็นเรื่องที่ต้องกล่าวมาก ฉะนั้น ท่านจึงประมวลเนื้อความนั้นไว้ ด้วยบทเดียวเท่านั้น แล้วกล่าวว่า เอกํ สมยํ ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ย่อมแสดงว่า สมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นประเภทของกาลมิใช่น้อยทีเดียว ที่ปรากฏมากมายในหมู่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ คือ สมัยเสด็จก้าวลงสู่พระครรภ์ สมัยประสูติ สมัยทรงสลดพระทัย สมัยเสด็จออกผนวช สมัยทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา สมัยทรงชนะมาร สมัยตรัสรู้ สมัยประทับเป็นสุขในทิฏฐธรรม สมัยตรัสเทศนา สมัยเสด็จปรินิพพาน เหล่านี้ใด ในบรรดาสมัยเหล่านั้น สมัยหนึ่ง คือสมัยตรัสเทศนา
อนึ่ง ในบรรดาสมัยแห่งญาณกิจ และกรุณากิจ สมัยแห่ง กรุณากิจนี้ใด ในบรรดาสมัยทรงบำเพ็ญประโยชน์พระองค์ และทรงบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น สมัยทรงบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นนี้ใด ในบรรดาสมัยแห่งกรณียะทั้งหลายแก่ผู้ประชุมกัน สมัยตรัสธรรมีกถานี้ใด ในบรรดาสมัยแห่งเทศนาและปฏิบัติ สมัยแห่งเทศนานี้ใด ท่านพระอานนท์กล่าวว่า สมัยหนึ่ง ดังนี้ หมายถึงสมัยใดสมัยหนึ่ง ในบรรดาสมัยทั้งหลายแม้เหล่านั้น.
ถามว่า ก็เหตุไร ในพระสูตรนี้ ท่านจึงทำนิเทศ ด้วยทุติยาวิภัตติว่า เอกํ สมยํ ไม่การทำเหมือนอย่างในพระอภิธรรม ซึ่ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 21
ท่านได้ทำนิเทศด้วยสัตตมีวิภัตติว่า ยสฺมึ สมเย กามาวจรํ และในสุตบทอื่นๆ จากพระอภิธรรมนี้ ก็ทำนิเทศด้วยสัตต มีวิภัตติว่า ยสฺมึ สมเย ภิกฺขเว ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมทิ ส่วนในพระวินัยท่านทำนิเทศ ด้วยตติยาวิภัตติว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา?
ตอบว่า เพราะในพระอภิธรรมและพระวินัยนั้น มีอรรถเป็นอย่างนั้น ส่วนในพระสูตรนี้มีอรรถเป็นอย่างอื่น.. จริงอยู่ บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นั้น ในพระอภิธรรม และในสุตตบทอื่นจากพระอภิธรรมนี้ ย่อมสำเร็จอรรถแห่งอธิกรณะ และอรรถแห่งการกำหนดภาวะ ด้วยภาวะ. ก็อธิกรณะ คือสมัยที่มีกาลเป็นอรรถ และมีประชุมเป็นอรรถ และภาวะแห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้น ท่านกำหนดด้วยภาวะแห่งสมัย กล่าวคือขณะความพร้อมเพรียง และเหตุแห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้น ที่ตรัสไว้ในพระอภิธรรมและสุตตบทอื่นนั้นๆ เพราะฉะนั้น เพื่อส่อง อรรถนั้น ท่านจึงทำนิเทศด้วยสัตต มีวิภัตติในพระอภิธรรม และในสุตตบทอื่นนั้น. ส่วนในพระวินัย ย่อมสำเร็จอรรถแห่งเหตุ แลอรรถแห่งกรณะ. จริงอยู่ สมัยแห่งการทรงบัญญัติสิกขาบทนั้นใด แม้พระสาวกมีพระสารีบุตรเป็นต้น ก็ยังรู้ยากโดยสมัยนั้น อันเป็นเหตุ และเป็นกรณะ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงบัญญัติสิกขาบททั้งหลาย และทรงพิจารณาถึงเหตุ แห่งการทรงบัญญัติสิกขาบท ได้ประทับอยู่ในที่นั้นๆ เพราะฉะนั้น เพื่อส่องความข้อนั้น ท่านจึงทำนิเทศ ด้วยตติยาวิภัตติในพระวินัยนั้น. ส่วนในพระสูตรนี้และพระสูตรอื่น ที่มีกำเนิดอย่างนี้ ย่อมสำเร็จอรรถแห่งอัจจันตะสังโยคะ จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระสูตรนี้ หรือพระสูตรอื่น ตลอด
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 22
สมัยใด เสด็จประทับอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่ คือ กรุณา ตลอดสมัยนั้นทีเดียว. เพราะฉะนั้น เพื่อส่องความข้อนั้น ท่านจึงทำนิเทศด้วยทุติยาวิภัตติ ในพระสูตรนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว คาถาประพันธ์ไว้ดังนี้ว่า
ท่านพิจารณาอรรถนั้นๆ กล่าวสมยศัพท์ ในปิฎกอื่น ด้วยสัตตมีวิภัตติ และตติยาวิภัตติ แต่ในพระสุตตันตปิฎกนี้ กล่าวสมยศัพท์นั้น ด้วยทุติยาวิภัตติ.
ก็พระโบราณาจารย์ทั้งหลายพรรณนาไว้ว่า นี้ต่างกันแต่เพียง โวหารว่า ตสฺมึ สมเย บ้าง เตน สมเยน บ้าง ตํ สมยํ บ้าง ในที่ทุกแห่งมีอรรถเป็นสัตต มีวิภัติทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แม้ท่านกล่าวว่า เอกํ สมยํ ก็พึงทราบเนื้อความว่า เอกสฺมึ สมเย (ในสมัยหนึ่ง)
บทว่า ภควา เป็นคำกล่าวด้วยความเคารพ. จริงอยู่ คนทั้งหลาย เรียกครูในโลกว่า ภควา. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ เป็นครูของสัตว์ทั้งปวง เพราะเป็นประเสริฐพิเศษโดยคุณทั้งปวง เพราะฉะนั้น พึงทราบพระองค์ว่า ภควา. แม้พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย ก็กล่าวไว้ว่า
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐ คำว่า ภควา เป็นคำสูงสุด พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ผู้ควรแก่ความเคารพโดยฐานครู เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงขนานพระนามว่า ภควา.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 23
อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงทราบความแห่งบทนั้น โดยพิสดารด้วยอำนาจแห่งคาถานี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้มีโชค ทรงหักกิเลส ทรงประกอบด้วยภคธรรม ทรงจำแนกแจกธรรม ทรงน่าคบ และทรงคายกิเลส เป็นเครื่องไปในภพทั้งหลายเสียได้ เพราะเหตุนั้น ทรงพระนามว่า ภควา
เนื้อความนั้น กล่าวไว้แล้วโดยพิสดาร ในพุทธานุสสตินิเทศ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค นั้นแล.
ก็ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ พระเถระเมื่อแสดงธรรมตามที่ฟังมา จึงกระทำพระสรีระ คือพระธรรม ของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประจักษ์ ด้วยคำว่า เอวมฺเม สุตํ ในสูตรนี้. ด้วยคำนั้น พระเถระชื่อว่า ปลอบโยนคนผู้รันทด เพราะไม่ได้เห็นพระศาสดาว่า ปาพจน์ (ธรรม และวินัย) นี้ ชื่อว่ามีศาสดาล่วงไปแล้วหามิได้ พระธรรมวินัยนี้ เป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย. ด้วยคำว่า เอกํ สมยํ ภควา พระเถระ เมื่อจะแสดงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีอยู่ในสมัยนั้นชื่อว่า ยกการปรินิพพาน ทางรูปกายให้เห็น ด้วยคำนั้น พระเถระจึงทำผู้มัวเมา เพราะความเมาในชีวิต ให้เกิดความสังเวช และทำให้คนนั้นเกิดความอุตสาหะ ในพระสัทธรรมว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ผู้ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณ มีพระวรกายเสมอด้วยรางเพชร ผู้ทรงแสดงอริยธรรม ชื่ออย่างนี้ ยังปริ-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 24
นิพพาน คนอื่นใครเล่าจะพึงให้เกิดความหวังในชีวิต และพระเถระเมื่อกล่าวว่า เอวํ ชื่อว่าชี้เทศนาสมบัติ (สมบัติคือการแสดง). กล่าวว่า เม สุตํ ชื่อว่าชี้ถึงสาวกสมบัติ (สมบัติของสาวก). กล่าวว่า เอกํ สมยํ ชื่อว่าชี้ถึงกาลสมบัติ (สมบัติคือเวลา) กล่าวว่า ภควา ชื่อว่าชี้ถึง เทสกสมบัติ (สมบัติคือผู้แสดง).
บทว่า สาวตฺถิยํ ได้แก่ ใกล้นครชื่ออย่างนี้. ก็คำว่า สาวตฺถิยุํ นี้ เป็นสัตตมีวิภัติ ใช้ในอรรถว่าใกล้. บทว่า วิหรติ นี้ เป็นบทแสดง ความพรั่งพร้อมแห่งการอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอิริยาบถวิหาร ทิพวิหาร พรหมวิหาร และอริยวิหาร โดยไม่แปลกกัน. แต่ในที่นี้แสดงการประกอบพร้อมด้วยอิริยาบถ อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาอิริยาบถต่างโดยยืน เดิน นั่ง และนอน ด้วยบทว่า วิหรติ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนก็ดี เดินก็ดี นั่งก็ดี บรรทมก็ดี บัณฑิตพึงทราบว่าประทับอยู่ทั้งนั้น. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงตัดขาด ความลำบากแห่งอิริยาบถหนึ่ง ด้วยอิริยาบถหนึ่ง ทรงนำไปคือทำ อัตภาพให้เป็นไป ไม่ให้ทรุดโทรม เพราะเหตุนั้น ท่านพระอานนท์ จึงกล่าวว่า วิหรติ (ประทับอยู่).
บทว่า เชตวเน ได้แก่ ในสวนของพระราชกุมาร พระนามว่า เชต สวนนั้น พระราชกุมารพระนามว่า เชต นั้น ได้ปลูกต้นไม้ให้เจริญงอกงาม รักษาไว้อย่างดี และพระองค์ได้เป็นเจ้าของสวนนั้น เพราะฉะนั้น สวนนั้นจึงนับว่า เชตวัน. ในพระเชตวันนั้น.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 25
บทว่า อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ความว่า อารามอันนับว่าของท่านอนาถบิณฑิกะ เพราะเป็นอารามที่คฤหบดีนามว่า อนาถบิณฑิกะ มอบถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน โดยบริจาคทรัพย์เป็นเงิน ๕๔ โกฏิ ก็ในที่นี้ ความสังเขปมีเพียงเท่านี้.
ส่วนความพิสดาร กล่าวไว้แล้วในอรรถกถา สัพพาสวสูตร อรรถกถามัชฌิมนิกาย ชื่อปปัญจสูทนี ในข้อนั้น หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถีก่อน. พระเถระก็ไม่ควรกล่าวว่า พระวิหารชื่อว่า เชตวัน ถ้าพระองค์ประทับอยู่ในพระเชตวันนั้น ก็ไม่ควรกล่าวว่า ใกล้กรุงสาวัตถี. ความจริง ใครๆ ไม่อาจจะอยู่ได้ในที่ ๒ แห่ง พร้อมคราวเดียวกัน แก้ว่า ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้กล่าวไว้แล้ว มิใช่หรือว่า คำว่า สาวตฺถิยํ เป็นสัตตมีวิภัติ ใช้ในอรรถว่าใกล้ เพราะฉะนั้น แม้ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระวิหาร ชื่อว่า เชตวัน ที่อยู่ใกล้กรุงสาวัตถี ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ประทับอยู่ในพระวิหารชื่อว่า เชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี เหมือนฝูงโคเที่ยวหากินใกล้แม่น้ำคงคา และแม่น้ำยมุนา เป็นต้น เขาก็เรียกว่า เที่ยว หากินใกล้แม่น้ำคงคา ใกล้แม่น้ำยมุนา ฉะนั้น. จริงอยู่ การกล่าวถึงกรุงสาวัตถี ของท่านพระอานนท์นั้น ก็เพื่อแสดงโคจรคาม การกล่าวถึงสถานที่ที่เหลือ ก็เพื่อแสดงสถานที่เป็นที่อาศัย อันสมควรแก่บรรพชิต ในคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า สาวตฺถิยํ ท่านพระอานนท์ แสดงการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำการอนุเคราะห์แก่คฤหัสถ์. แสดงการกระทำอนุเคราะห์แก่บรรพชิต ด้วยการระบุถึงพระเชตวัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 26
อนึ่งพระเถระแสดงการเว้นอัตตกิลมถานุโยค เพราะการรับปัจจัยด้วยคำต้น แสดงอุบายเป็นเครื่องเว้นกามสุขัลลิกานุโยค เพราะวัตถุกามด้วยคำหลัง. อนึ่ง แสดงการประกอบพระธรรมเทศนาด้วยคำต้น แสดงการน้อมไปเพื่อวิเวกด้วยคำหลัง. แสดงการมีพระกรุณาด้วยคำต้น แสดงการมีพระปัญญาด้วยคำหลัง แสดงว่าทรงน้อมไป ในอันให้สำเร็จหิตสุขแก่เหล่าสัตว์ด้วยคำต้น แสดงว่าไม่ทรงติด ในการทำหิตสุขแก่ผู้อื่นด้วยคำหลัง แสดงการที่ทรงอยู่ผาสุก ด้วยการสละสุขที่ชอบธรรม เป็นนิมิตด้วยคำต้น แสดงการทรงประกอบ เนืองๆ ซึ่งธรรมอันยิ่งของมนุษย์ เป็นนิมิตด้วยคำหลัง แสดงการที่ทรงเป็นผู้มีอุปการะมากแก่มนุษย์ทั้งหลายด้วยคำต้น แสดงการที่ทรงเป็นผู้มีอุปการะมาก แก่เทวดาทั้งหลายด้วยคำหลัง แสดงการที่เสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว เจริญพร้อมในโลกด้วยคำต้น แสดงการที่ไม่ทรงเข้าไปติดในโลกด้วยคำหลัง. แสดงทรงทำประโยชน์ ที่เสด็จอุบัติให้สำเร็จเรียบร้อย ด้วยคำต้น โดยพระบาลีว่า "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอก เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลเอก คือบุคคลชนิดไหน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า". แสดงการที่ทรงอยู่สมควรแก่สถานที่เป็นที่อุบัติด้วยคำหลัง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอุบัติในป่า ทั้งนั้น ด้วยอุบัติทั้งที่เป็น โลกิยะและโลกุตตระ คือ ครั้งแรก ที่ลุมพินีวัน ครั้งที่ ๒ ที่โพธิมัณฑสถาน เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงแสดงที่ประทับอยู่ของพระองค์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 27
ในป่า ทั้งนั้น. ในสูตรนี้ พึงทราบการประกอบความ โดยนัยดังกล่าวมาแล้ว เป็นต้น ฉะนี้.
บทว่า ตตฺร แสดงเทสะ และกาละ. ก็บทว่า ตตฺร นั้น พระเถระแสดงว่า ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ และในอารามที่ประทับอยู่ หรือแสดงเทสะ และกาละ อันควรจะกล่าวถึง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสธรรมในประเทศ หรือในกาลอันไม่สมควร (๑). ก็คำว่า "ดูก่อน พาหิยะ นี้เป็นกาลไม่สมควรก่อน" เป็นข้อสาธกในเรื่องนี้. ศัพท์ว่า โข เป็นอวธารณะ ใช้ในอรรถเพียงทำบทให้เต็ม หรือเป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า กาลเบื้องต้น. บทว่า ภควา แสดงความที่ทรงเป็นครูของโลก.
บทว่า ภิกฺขุ เป็นคำแสดงถึงบุคคลควรฟังพระดำรัส. อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า ภิกษุ นี้พึงทราบอรรถแห่งคำ มีอาทิว่า ชื่อว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ขอ หรือชื่อว่า ภิกษุ เพราะเข้าถึงการเที่ยวขอ.
บทว่า อามนฺเตสิ แปลว่า เรียก คือ กล่าว ได้แก่ ปลุกให้ตื่น. ในบทว่า อามนฺเตสิ นี้มีใจความดังนี้. แต่ในที่อื่นใช้ในอรรถว่าให้รู้ก็มี. เหมือนอย่างตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลายให้ทราบ ขอเตือนเธอทั้งหลาย. ใช้ในอรรถว่า เรียก ก็มี เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า มานี่แน่ะภิกษุ เธอจงเรียกสารีบุตรมา ตามคำของเรา.
(๑) ปาฐะว่า อยุตฺตเทเส วา ธมฺมํ ภาสติ พม่าเป็น อยุตฺเต เทเสวา กาเลวา ธมฺมํ ภาสติ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 28
บทว่า ภิกฺขโว แสดงอาการเรียก. ก็บทนั้น ตรัสเพราะสำเร็จ ด้วยการประกอบด้วยคุณ คือความเป็นผู้ขอโดยปกติ. ผู้รู้สัททศาสตร์ ย่อมสำคัญว่า ก็ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณ คือความเป็นผู้ขอเป็นปกติก็มี ประกอบด้วยคุณ คือความเป็นผู้ขอเป็นธรรมดาก็มี ประกอบด้วยคุณ คือความเป็นผู้มีปกติ การทำดีในการขอก็มี. พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศความประพฤติที่ชนเลว และชนดีเสพแล้ว จึงทรงทำการข่มความเป็นคนยากไร้ที่ยกขึ้น ด้วยพระดำรัสนั้น ที่สำเร็จด้วยการประกอบด้วยคุณ มีความเป็นผู้ขอเป็นปกติ เป็นต้น ของภิกษุเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำภิกษุเหล่านั้น ให้หันหน้าตรงพระพักตร์ของพระองค์ ด้วยพระดำรัสที่ทรงทอดพระนัยนาลง ด้วยพระหฤทัยที่แช่มชื่น แผ่ไปด้วยพระกรุณาเป็นเบื้องหน้าว่า ภิกฺขโว นี้ ทรงทำให้ภิกษุเหล่านั้น เกิดความอยากจะฟัง ด้วยพระดำรัส อันแสดงพุทธประสงค์จะตรัสนั้น นั่นแหละ. และทรงชักชวนภิกษุเหล่านั้นไว้ แม้ในการใส่ใจฟังด้วยดี ด้วยพระดำรัสนั้น อันมีอรรถว่า ปลุกให้ตื่นนั้น นั่นเอง. จริงอยู่ พระศาสนาจะสมบูรณ์ได้ ก็เพราะการใส่ใจในการฟังด้วยดี.
หากมีคำถามว่า เมื่อเทวดาและมนุษย์แม้เหล่าอื่นก็มีอยู่ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเรียกเฉพาะภิกษุเหล่านั้น. แก้ว่า เพราะภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด อยู่ใกล้ชิด และเป็นผู้อยู่ประจำ. จริงอยู่ พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทั่วไปแก่คนทั้งปวง. แต่ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า เป็นผู้เจริญที่สุดของบริษัท ก็เพราะเป็นผู้เกิดก่อน. และชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐสุด
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 29
ก็เพราะเป็นผู้ดำเนินตามพระจรรยาของพระศาสดา ตั้งต้นแต่เป็นผู้ไม่ครองเรือน และเพราะเป็นผู้รับพระศาสนาทั้งสิ้น ชื่อว่า เป็นผู้ใกล้ชิด เพราะเมื่อเธอนั่งในที่นั้นๆ ก็ใกล้พระศาสดาทั้งนั้น ชื่อว่า อยู่ประจำ ก็เพราะขลุกง่วนอยู่แต่ในสำนักพระศาสดา. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา เพราะเกิดด้วยการปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอน แม้เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
ถามว่า ก็เพื่อประโยชน์อะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรม จึงตรัสเรียกภิกษุเสียก่อน ไม่ทรงแสดงธรรมเลยทีเดียว. แก้ว่า เพื่อให้เกิดสติ. ความจริง ภิกษุทั้งหลาย คิดเรื่องอื่นอยู่ก็มี มีจิตฟุ้งซ่านก็มี พิจารณาธรรมอยู่ก็มี นั่งมนสิการกรรมฐานอยู่ก็มี ภิกษุเหล่านั้น เมื่อไม่ตรัสเรียกให้รู้ (ตัว) ทรงแสดงธรรมไปเลย ก็ไม่สามารถจะกำหนดได้ว่า เทศนานี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย พระองค์ทรงแสดง เพราะอัตถุปปัตติ (เหตุเกิดเรื่อง) อย่างไหน? จะพึงรับเอาได้ยาก หรือไม่พึงรับเอาเลย. เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดสติ ด้วยพระดำรัสนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเรียกเสียก่อน แล้วจึง ทรงแสดงธรรมภายหลัง.
บทว่า ภทนฺเต นี้ เป็นคำแสดงความเคารพ หรือเป็นการถวายคำตอบ (คือขานรับ) แด่พระศาสดา. อีกอย่างหนึ่ง ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสว่า ภิกฺขโว ชื่อว่า เรียกภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุทั้งหลายเมื่อทูลว่า ภทนฺเต ชื่อว่า ขานรับพระผู้มีพระภาคเจ้าในภายหลัง. อนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกว่า ภิกฺขโว. ภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 30
ทั้งหลาย กราบทูลในภายหลังว่า ภทนฺเต. พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งให้ภิกษุตอบ พระดำรัสที่ว่า ภิกฺขโว. ภิกษุถวายคำตอบว่า ภทนฺเต.
บทว่า เต ภิกฺขู ได้แก่ เหล่าภิกษุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก. บทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ความว่า ภิกษุทั้งหลายได้ฟังเฉพาะ พระดำรัสตรัสเรียกของพระผู้มีพระภาคเจ้า. อธิบายว่า หันหน้ามาฟัง คือรับ ได้แก่ ประคองรับ. บทว่า ภควา เอตทโวจ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสคำนั้น คือพระสูตรทั้งสิ้นที่จะพึงกล่าวในบัดนี้.
ก็ด้วยคำเพียงเท่านี้ คำเริ่มต้นอันใด อันประกอบด้วยกาล, ผู้แสดง, เทสะ, บริษัท และประเทศ ท่านพระอานนท์กล่าวแล้ว เพื่อกำหนดเอาพระสูตรนี้ได้โดยสะดวก. การพรรณนาเนื้อความแห่งคำเริ่มต้นนั้น จบบริบูรณ์แล้วแล.
บัดนี้มาถึงโอกาสพรรณนาพระสูตร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตั้งไว้โดยนัยเป็นต้นว่า นาหํ ภิกฺขเว อญฺํ เอกรูปํปิ สมนุปสฺสามิ ดังนี้แล้ว.
ก็การพรรณนาความนี้นั้น เพราะเหตุที่กำลังกล่าววิจารณ์ เหตุตั้งแห่งพระสูตรปรากฏอยู่ ฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบการวิจารณ์ เหตุตั้งแห่งพระสูตรก่อน.
จริงอยู่ เหตุตั้งแห่งพระสูตร มี ๔ อย่าง คือ เกิดเพราะอัธยาศัยของตน ๑ เกิดเพราะอัธยาศัยของผู้อื่น ๑ เกิดด้วยอำนาจคำถาม ๑ เกิดเพราะเหตุเกิดเรื่อง ๑. ในเหตุทั้ง ๔ อย่างนั้น พระสูตรเหล่าใด พระผู้มีพระภาคเจ้าอันผู้อื่นมิได้อาราธนา ตรัสโดยพระ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 31
อัธยาศัยของพระองค์อย่างเดียว เช่น อากังเขยยสูตร, วัตถสูตร เป็นต้น สูตรเหล่านั้น ชื่อว่า มีเหตุตั้งเกิดจากอัธยาศัยของพระองค์.
อนึ่ง สูตรเหล่าใด ที่พระองค์ทรงสำรวจดูอัธยาศัย ความชอบใจ บุญเก่า และความตรัสรู้ แล้วตรัสโดยอัธยาศัยของผู้อื่นอย่างนี้ว่า ธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตติของพระราหุล แก่กล้าแล้ว ถ้ากระไร เราพึงแนะนำในธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะยิ่งๆ ขึ้นไปแก่พระราหุล เช่น ราหุโลวาทสูตร ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นต้น สูตรเหล่านั้น ชื่อว่า มีเหตุ ตั้งเกิดจากอัธยาศัยของผู้อื่น.
ก็เทวดาและมนุษย์เหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วถามปัญหา โดยประการต่างๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเทวดา และมนุษย์เหล่านั้น ทูลถามแล้ว ตรัสสูตรใด มีเทวตาสังยุต และโพชฌังคสังยุต เป็นต้น. สูตรเหล่านั้น ชื่อว่า มีเหตุ ตั้งเกิดโดยอำนาจคำถาม.
อนึ่งสูตรเหล่าใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส เพราะอาศัยเหตุเกิดขึ้น เช่น ธัมมทายาทสูตร และปุตตมังสูปมสูตร เป็นต้น สูตรเหล่านั้น ชื่อว่า มีเหตุ ตั้งโดยเหตุเกิดเรื่องขึ้น.
ในเหตุตั้งสูตรทั้ง ๔ นี้ สูตรนี้ชื่อว่า มีเหตุตั้งเกิดจากอัธยาศัยของผู้อื่น อย่างนี้. จริงอยู่ สูตรนี้ตั้งขึ้นด้วยอำนาจอัธยาศัยของผู้อื่น. ถามว่า ด้วยอัธยาศัยของคนพวกไหน? แก้ว่า ของบุรุษ ผู้หนักในรูป.
ในบทเหล่านั้น น อักษร ในคำว่า นาหํ ภิกฺขเว เป็นต้น มีปฏิเสธเป็นอรรถ. ด้วยบทว่า อหํ แสดงอ้างถึงพระองค์. พระผู้มี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 32
พระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นว่า ภิกฺขเว. บทว่า อญฺํ ความว่า ซึ่งรูปอื่น จากรูปหญิงที่พึงกล่าวในบัดนี้. บทว่า เอกรูปํปิ แปลว่า รูปแม้อย่างหนึ่ง. บทว่า สมนุปสฺสามิ ความว่า สมนุปัสสนา ๒ อย่าง คือ ญาณสมนุปัสสนา ๑ ทิฏฐิสมนุปัสสนา ๑. ในสองอย่างนั้น อนุปัสสนาว่า ภิกษุเห็นโดยเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่เห็นโดยเป็นของเที่ยง นี้ชื่อว่า ญาณสมนุปัสสนา. ส่วนอนุปัสสนามีอาทิว่า ภิกษุพิจารณาเห็นรูปโดยเป็นอัตตา ชื่อว่า ทิฏฐิสมนุปัสสนา. ในสองอย่างนั้น ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาญาณสมนุปัสสนา. พึงทราบการเชื่อมบทนี้ด้วย น อักษร. ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราแม้เมื่อตรวจดู ด้วยสัพพัญญุตญาณ ก็มองไม่เห็น แม้รูปอื่นสักอย่างหนึ่ง.
บทว่า ยํ เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺติ ความว่า รูปใด เกาะกุมทำกุศลจิตอันเป็นไปในภูมิ ๔ ของบุรุษผู้หนักในรูป ให้สิ้นไปตั้งอยู่. จริงอยู่ การยึดถือชื่อว่า การยึดมั่น ได้ในคำว่า ยึดมั่นกายหญิงทั้งหมด เป็นต้น. ชื่อว่า ให้สิ้นไป ได้ในคำมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย อนิจจสัญญา อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำกามราคะทั้งปวงให้สิ้นไป. ในที่นี้ (๑) ก็ถูกทั้งสองอย่าง. ในการยึดถือ และการให้สิ้นไปทั้งสองอย่างนั้น รูปนี้เมื่อถือเอากุศลจิตอันเป็นไปในภูมิ ๔
(๑) ปาฐะว่า อิธ อิทํ รูปํ จตุภูมิกํ กุสลจิตฺตํ ภณฺหนฺตํ นีลุปฺปลกลาปํ ปุริโส วิย หตฺเถน คณฺหาติ นามฯ เขปยมานํ อคฺคิ วิย อุทฺธเน อุทกํ สนฺตาเปตฺวา เขเปติฯ พม่าเป็น ตตฺถ อิทํ รูปํ จตุภูมถกุสลจิตฺตํ คณฺหนฺตํ น นีลุปฺปลกลาปํ ปุริโสวิย หตฺเถ คณฺหาติ, นาปิ เขปยามานํ อคฺคิ วิย อุทฺธเน อุทกํ สนฺตาเปตฺวา เขเปติ. (แปลตามพม่า)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 33
ชื่อว่าถือเอา เหมือนบุรุษเอามือถือกำอุบลบัวขาบ ก็หามิได้ เมื่อทำให้สิ้นไป ชื่อว่าทำให้สิ้นไป เหมือนไฟที่ทำน้ำบนเตาไฟ ให้ร้อนแล้วให้สิ้นไป ก็หามิได้ อนึ่ง (๑) รูปที่ห้ามการเกิดขึ้นแห่งกุศลจิตนั้น นั่นแหละ พึงทราบว่า ชื่อว่ายึดและทำกุศลจิต อันแม้ที่เป็นไปในภูมิ ๔ ให้สิ้นไป. ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺติ (ยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่)
บทว่า ยถยิทํ ตัดเป็น ยถา อิทํ. บทว่า อิตฺถีรูปํ แปลว่า รูปของหญิง. ในคำว่า รูป นั้น พึงทราบอรรถแห่งคำ และสามัญลักษณะแห่งรูป ตามแนวแห่งสูตรว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกล่าวรูปอะไร? ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติใดย่อมแตกสลาย เพราะเหตุนั้นธรรมชาตินั้น จึงเรียกว่ารูป. รูปย่อมแตกสลายไปเพราะเหตุอะไร? ย่อมแตกสลายไปเพราะเย็นบ้าง ย่อมแตกสลายไปเพราะร้อนบ้าง.
ก็ศัพท์ว่า รูป นี้ ย่อมได้ในอรรถหลายอย่าง เช่น ขันธ์, ภพ, นิมิต, ปัจจัย, สรีระ, วัณณะ, สัณฐาน เป็นต้น. จริงอยู่ ศัพท์ว่ารูปนี้ ใช้ในอรรถว่ารูปขันธ์ ในประโยคนี้ว่า รูปขันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน. ใช้ในอรรถว่ารูปภพ ในประโยคนี้ว่า เจริญ มรรคเพื่ออุปบัติในรูปภพ. ใช้ในอรรถว่า กสิณนิมิต ในประโยคนี้ว่า กำหนดอรูปภายใน เห็นรูปกสิณภายนอก. ใช้ในอรรถว่าปัจจัย ในประโยคนี้ว่า อกุศลธรรมอันลามกทั้งที่มีรูป และไม่มีรูป ย่อมเกิดขึ้น.
(๑) ปาฐะว่า อุปฺปตฺติญฺจสฺส นิวาริยมานเมว จตุภูมิกํ กุสลจิตฺตํ คณฺหาติ เจว เขเปติ จ เวทิตพฺพํฯ พม่าเป็น อุปฺปตฺติญฺจสฺส นิวารยมานเมว จตุภูมกมฺปิ กุสลจิตฺตํ คณฺหาติ เจว เขเปฺติ จาติ เวทตพฺพํ. (แปลตามพม่า)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 34
ใช้ในอรรถว่าสรีระ ในประโยคนี้ว่า อากาศที่ล้อมรอบตัวก็เรียกว่า สรีรรูปเหมือนกัน. ใช้ในอรรถว่าวรรณะ ในประโยคนี้ว่า อาศัยจักษุ และวรรณรูปเกิดจักขุวิญญาณ. ใช้ในอรรถว่าสัญฐาน ในประโยคนี้ว่า ผู้ถือประมาณในรูปสัญฐาน เลื่อมใสในรูปสัณฐาน. พึงสงเคราะห์รูป มีอาทิ ว่า ปิยรูปํ สาตรูปํ อรสรูโป (รูปน่ารัก รูปน่าชื่นใจ ผู้มีรูปไม่น่ายินดี) ด้วย อาทิ ศัพท์. แต่ในที่นี้ รูปศัพท์นั้น ใช้ในอรรถว่า วรรณะ กล่าวคือ รูปายตนะ อันมีสมุฏฐาน ๔ ของหญิง. อีกอย่างหนึ่ง วรรณะ (สี) อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เนื่องด้วยกายของหญิง ไม่ว่าผ้าที่นุ่ง เครื่องประดับ กลิ่นหอม และผิวพรรณเป็นต้น หรือเครื่องประดับ และระเบียบดอกไม้ ย่อมสำเร็จเป็นอารมณ์แห่งจักขุวิญญาณของชาย. ทั้งหมดนั้น พึงทราบว่า เป็นรูปแห่งหญิงเหมือนกัน.
บทว่า อิตฺถีรูปํ ภิกฺขเว ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺติ นี้ ตรัสไว้ เพื่อทำคำที่ตรัสมาก่อนนั่นแลให้หนักแน่น. หรือคำก่อนตรัสไว้ ด้วยอำนาจอุปมาอย่างนี้ว่า ยถยิทํ ภิกฺขเว อิตฺถีรูปํ (เหมือนรูปหญิงนี้นะ ภิกษุทั้งหลาย). แต่คำนี้ ตรัสด้วยอำนาจการชี้ภาวะ แห่งการยึดถือ. ในการที่รูปหญิงครอบงำนั้น มีเรื่องสาธกดังต่อไปนี้ :-
ได้ยินว่า พระราชาทรงพระนามว่า มหาทาฐิกนาค ให้สร้างพระสถูปใหญ่ ที่ถ้ำอัมพัฏฐะ ใกล้เจติยคิรีวิหาร กระทำคิริภัณฑวาหนบูชา (บูชาด้วยนำของที่เกิด ณ ภูเขามา) มีหมู่นางสนมแวดล้อม เสด็จไปยังเจติยคิรีวิหาร ถวายมหาทาน แก่ภิกษุสงฆ์ ตามกาลอันสมควร. ธรรมดาว่า สถานที่ชนเป็นอันมากประชุมกัน ชนทั้งหมด ไม่มีสติที่จะตั้งมั่นอยู่ได้. พระอัครมเหสีของพระราชา ทรงพระนามว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 35
ทมิฬเทวี ทรงตั้งอยู่ในวัยสาว น่าชม น่าพิศมัย. ครั้งนั้นพระเถระรูปหนึ่งชื่อ จิตตะ ผู้บวชเมื่อแก่ แลดูโดยทำนองที่ไม่สำรวม ยึดเอานิมิตในรูปารมณ์ของพระอัครมเหสีนั้น เป็นดังคนบ้า. เที่ยวพูดไปในที่ๆ ตนยืนและนั่งว่า เชิญสิแม่ทมิฬเทวี เชิญสิแม่ทมิฬเทวี. ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุหนุ่มและสามเณร ตั้งชื่อไว้เรียกท่านว่า พระอุมมัตตกจิตตเถระ (พระจิตบ้า). ต่อไม่นานนัก พระเทวีนั้นก็ทิวงคต. เมื่อภิกษุสงฆ์ไปเยี่ยมในป่าช้าแล้วกลับมา ภิกษุหนุ่มและสามเณรได้ไปยังสำนักของ ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพระจิตเถระ ขอรับ ท่านพร่ำเพ้อถึง พระเทวีพระองค์ใด พวกผมไปเยี่ยมป่าช้าของพระเทวีพระองค์นั้น กลับมาแล้ว ถึงภิกษุหนุ่ม และสามเณรทั้งหลาย จะพูดอย่างนั้น ท่านก็ไม่เชื่อ ได้แต่พูดดังคนบ้าว่า พวกท่านไปเยี่ยมใครๆ ก็ได้ในป่าช้า หน้าของพวกท่าน จึงมีสีเหมือนควันไฟ. รูปแห่งหญิงนี้ได้ครอบงำ จิต ของพระจิตตเถระ ผู้เป็นบ้าตั้งอยู่ด้วยประการฉะนี้.
อีกเรื่องหนึ่ง เล่ากันว่า วันหนึ่งพระมหาราชา ทรงพระนามว่า สัทธาติสสะ มีหมู่นางสนมแวดล้อมเสด็จมายังวิหาร. ภิกษุหนึ่งรูปหนึ่ง ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูแห่งโลหะปราสาท ตั้งอยู่ในความไม่สำรวม แลดูหญิงคนหนึ่ง. ฝ่ายหญิงนั้นก็หยุดดูภิกษุหนุ่มรูปนั้น. ทั้งสองถูกไฟคือ ราคะ ที่ตั้งขึ้นในทรวงแผดเผาได้ตายไปด้วยกัน. รูปแห่งหญิงได้ครอบงำจิตของภิกษุหนุ่มตั้งอยู่ ด้วยประการอย่างนี้.
อีกเรื่องหนึ่งเล่ากันมาว่า ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง จากกัลยาณิยมหาวิหาร ไปยังประตูบ้านกาฬทีฆวาปีคาม เพื่อแสดงพระปาฎิโมกข์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 36
เสร็จการแสดงพระปาฏิโมกข์แล้ว เมื่อไม่เชื่อถือคำพูดของผู้ปรารถนาดี คิดว่าในที่ๆ ไปแล้ว เราถูกภิกษุหนุ่ม และสามเณรถามแล้ว ควรจักบอกอาการที่เราอาศัยหมู่บ้านอยู่ ดังนี้แล้ว จึงไปเที่ยวบิณฑบาตในบ้าน ยึดเอานิมิตในวิสภาคารมณ์ (อารมณ์ที่เป็นข้าศึก) แล้วไปยังที่อยู่ของตน จำผ้าที่นางนุ่งได้ พลางถามว่า ท่านขอรับ ท่านได้ผ้านี้มาอย่างไร? รู้ว่านางตายแล้ว คิดว่า หญิงชื่อเห็นปานนี้ตายเพราะเรา ดังนี้ ถูกไฟคือราคะที่ตั้งขึ้นแผดเผาก็สิ้นชีวิตไป. บัณฑิตพึงทราบว่า รูปของหญิงครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ แม้ด้วย อาการอย่างนี้.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๒
สูตรที่ ๒ เป็นต้น ท่านกล่าวแล้ว ด้วยอำนาจแห่งบุคคลผู้หนักในเสียง เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิตฺถีสทฺโท ได้แก่ เสียงพูด ขับร้อง และประโคม อันมีจิตเป็นสมุฏฐานของหญิง. อีกอย่างหนึ่ง เสียงพิณ, ขลุ่ย, สังข์, บัณเฑาะว์ เป็นต้น ที่สำเร็จด้วยการประกอบของหญิง ที่มีเครื่องนุ่งห่มบ้าง ที่มีเครื่องประดับบ้าง พึงทราบว่า เสียงของหญิงทั้งนั้น. จริงอยู่ เสียงหญิงทั้งหมดนั้น ย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ ฉะนี้แล. ในสูตรนั้น พึงทราบเรื่องปูทอง นกยูงทอง และภิกษุหนุ่ม เป็นต้น.
ดังได้สดับมาโขลงพระยาช้าง โขลงใหญ่ อาศัยซอกเขาอยู่. และในที่ไม่ไกลซอกเขานั้น มีสระขนาดใหญ่สำหรับใช้สอย. ในสระ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 37
นั้น มีปูทองตัวล่ำสัน ทองนั้นเอาก้ามจับเท้าสัตว์ที่พากันมาลงสระนั้น เหมือนจับด้วยคีมแล้ว ให้อยู่ในอำนาจของมันแล้ว ทำให้ตาย. พระยาช้าง จ้องคอยโอกาสปูทองนั้น ตั้งช้างใหญ่เชือกหนึ่งให้เป็นหัวหน้าเที่ยวไป. วันหนึ่ง ปูนั้นจับพระยาช้างนั้นได้. พระยาช้างผู้สมบูรณ์ด้วยกำลัง และสติคิดว่า ถ้าเราจักร้องเพราะกลัวไซร้ ช้างทั้งหมดจะไม่เล่น ตามความชอบใจ จักหนีไปเสีย จึงได้ยืนนิ่งอยู่นั่นเอง ครั้นรู้ว่าช้าง ขึ้นหมดแล้ว จึงร้องเพื่อให้ภรรยาของตนรู้ว่า ตนถูกปูทองจับไว้ จึงกล่าวอย่างนี้ว่า
ก็ปูสีดังทอง มีตาโปน มีกระดองแทนหนัง อาศัยอยู่ในน้ำ ไม่มีขน เราถูกมันหนีบ ร้องไห้ ขอความสงสาร เจ้าอย่าละทิ้งข้า ผู้ปานชีวิต
ภรรยาได้ฟังดังนั้น รู้ว่าสามีถูกปูหนีบ จึงเจรจากับช้างบ้าง กับปูบ้าง เพื่อให้สามีพ้นจากภัยนั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า
พ่อเจ้าเอ๋ย ข้าจักไม่ละเจ้าผู้เป็นกุญชรชาติ มีอายุ ๖๐ ปี เจ้าเป็นที่รักยิ่งของข้า บนแผ่นดิน ซึ่งมีทวีปทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ปูเหล่าใดอยู่ในสมุทร ในแม่น้ำคงคา และในแม่น้ำยมุนา ท่านเป็นสัตว์เกิดในน้ำ ผู้ประเสริฐสุดของปูเหล่านั้น โปรดปล่อยสามีของฉันผู้ซึ่งร้องไห้อยู่.
ปูคลายการหนีบให้เพลาลง พร้อมกับได้ยินเสียงของหญิง. ลำดับนั้นพระยาช้าง คิดว่า นี้แล เป็นโอกาสช่องว่างของมัน จึงยัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 38
เท้าข้างหนึ่งไว้ โดยอาการที่ถูกหนีบอยู่นั่นแล ยกเท้าที่ ๒ ขึ้นเหยียบกระดองหลังปูนั้น ทำให้แหลกละเอียด กระชากปูนั้นเหวี่ยงขึ้นบนฝั่ง. ลำดับนั้น ช้างทั้งหมดชุมนุมกันทำปูนั้นให้แหลกละเอียดด้วยคิดว่า มันเป็นไพรีของพวกเรา. เสียงของหญิง ครอบงำจิตของปูทองด้วย ประการฉะนี้ก่อน.
ฝ่ายนกยูงทอง เข้าไปยังป่าหิมพานต์ อาศัยชัฏแห่งภูเขาใหญ่อยู่ แลดูดวงอาทิตย์ ในเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นตลอดกาลเป็นนิตย์ เมื่อจะ กระทำการรักษาตนจึงกล่าวอย่างนี้ว่า
พระอาทิตย์ เป็นดวงตาโลก เป็นราชาเอก มีสีเหลืองดังทอง ทำพื้นแผ่นดินให้สว่างไสว อุทัยขึ้นมา ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งมีสีเหลืองดังทอง ทำพื้นแผ่นดินให้สว่างไสว ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้อันท่านคุ้มครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดวัน พราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด ผู้จบเวทในธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพราหมณ์เหล่านั้น และพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น โปรดรักษาข้าพเจ้าด้วย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่พระโพธิญาณ ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ความ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 39
นอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่วิมุตติ (ธรรมเครื่องหลุดพ้น).
นกยูงนั้น ได้กระทำปริตร อันนี้แล้ว จึงเที่ยวแสวงอาหาร.
นกยูงทองนั้น เที่ยวหากินตลอดวัน ในเวลาเย็นจึงเข้าไปที่อยู่ จึงแลดูดวงพระอาทิตย์ ซึ่งอัสดงคต ได้กล่าวชมเชยอย่างนี้ว่า
พระอาทิตย์เป็นดวงตาโลก เป็นราชาเอก มีสีเหลืองดังทอง ทำพื้นแผ่นดินให้สว่างไสว ย่อมอัสดงคตไป ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งมีสีเหลืองดังสีทอง ทำพื้นแผ่นดินให้สว่างไสว ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้อันท่านคุ้มครองแล้ว ในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดคืน พราหมณ์เหล่าใด ผู้จบเวทในธรรมทั้งปวง ข้าพเจ้าขอนอบน้อม พราหมณ์เหล่านั้น และพราหมณ์เหล่านั้น โปรดรักษาข้าพเจ้าด้วย ความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่พระโพธิญาณ ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้วทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่วิมุตติ (ธรรนเครื่องหลุดพ้น)
นกยูงนั้นได้กระทำปริตรนี้แล้วจึงสำเร็จการอยู่แล.
นกยูงนั้น ยับยั้งอยู่ตลอด ๗๐๐ ปี โดยทำนองนี้นั้นแล อยู่มาวันหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 40
ได้ยินเสียงนางนกยูง ก่อนแต่การกระทำปริตร ไม่ยอมระลึกการ กระทำปริตร จึงติดบ่วงของนายพราน ที่พระราชาส่งไป เสียงของหญิง ครอบงำจิตของนกยูงทองตั้งอยู่ ด้วยประการฉะนี้แล. ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มผู้อยู่ที่ฉาตกบรรพต และภิกษุหนุ่มผู้อยู่ที่สุธามุณฑกวิหาร ได้ยินเสียงของหญิงย่อยยับไปแล้ว แล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๒
อรรถกถาสูตรที่ ๓
ในสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- บทว่า อิตฺถีคนฺโธ ได้แก่ คันธายตนะ ของหญิงมีสมุฏฐาน ๔. กลิ่นกายของหญิงนี้นั้น ย่อมเหม็น แต่กลิ่นเครื่องประเทืองผิว เป็นต้น ภายนอกที่ชโลมกายท่านประสงค์เอาในที่นี้. จริงอยู่หญิงบางคนมีกลิ่นเหมือนกลิ่นม้า บางคนมีกลิ่น เหมือนกลิ่นแพะ บางคนมีกลิ่นเหมือนเหงื่อไคล บางคนมีกลิ่นเหมือนกลิ่นเลือด คนโง่บอดบางคนรักใคร่ ในหญิงเห็นปานนั้น นั่นแล. ส่วนกลิ่นจันทน์ ฟุ้งออกจากกาย และกลิ่นดอกอุบลฟุ้งออกจากปากของหญิง นางแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ์ กลิ่นนี้ไม่มีแก่หญิงทุกจำพวก เฉพาะกลิ่นเครื่องประเทืองผิว เป็นต้น ภายนอกท่านประสงค์เอาในที่นี้ ส่วนสัตว์เดียรัจฉาน มีช้าง ม้า และโค เป็นต้น ย่อมเดินไปได้สิ้นทาง ๑ โยชน์ ๒ โยชน์ ๓ โยชน์ และ ๔ โยชน์ ตามกลิ่นระดูของสัตว์ เดียรัจฉานตัวเมีย. ไม่ว่ากลิ่นกายหญิง หรือกลิ่นเครื่องนุ่งห่มที่หญิงนุ่ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 41
เครื่องประเทืองผิวที่หญิงลูบไล้ เครื่องประดับและระเบียบดอกไม้ เป็นต้น ของหญิงก็ตามที ทั้งหมดพึงทราบว่า กลิ่นหญิงทั้งนั้น.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๓
อรรถกถาสูตรที่ ๔
ในสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- บทว่า อิตฺถีรโส ได้แก่ รสายตนะของหญิง มีสมุฏฐาน ๔ ก็พระจูฬาภยเถระ ผู้ทรงพระไตรปิฎก กล่าวว่า รสนี้ใดจะเป็นรสแห่งการฟัง หรือรสแห่งการบริโภค ด้วยอำนาจการรับใช้เป็นต้นของหญิง รสนี้ชื่อว่า รสของหญิง. ก็รสน้ำลายที่เปื้อนเนื้อริมฝีปากเป็นต้นของหญิง แม้แต่รสแห่งข้าวต้ม และข้าวสวยเป็นต้น ที่เธอให้แก่สามีทั้งหมดนี้ พึงทราบว่ารสแห่งหญิงเหมือนกัน. จริงอยู่ สัตว์เป็นอันมากถือเอาของอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่หญิงแม่บ้านให้ด้วยมือของตนเท่านั้น ว่าเป็นของอร่อย ถึงความพินาศไปแล้ว แล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 42
อรรถกถาสูตรที่ ๕
ในสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- บทว่า อิตฺถีโผฏฺพฺโพ ความว่า สัมผัสกายของหญิง สัมผัสแม้ของผ้า เครื่องประดับ และระเบียบดอกไม้ เป็นต้น ที่อยู่กับตัวหญิง พึงทราบว่าโผฏฐัพพะหญิงทั้งนั้น. ก็ผัสสะทั้งหมดนั้น ย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือน ผัสสะที่เป็นวิสภาคารมณ์ (อารมณ์ที่เป็นข้าศึก) ของภิกษุหนุ่มผู้กำลังสาธยาย เป็นคณะอยู่ที่ลานแห่งมหาเจดีย์.
ดังนั้น พระศาสดา จึงถือเอาอารมณ์มีรูปารมณ์ เป็นต้นอย่างหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งอาสยะ (อัธยาศัย) และอนุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน) ของสัตว์ทั้งหลาย จึงตรัสว่า เรามองไม่เห็นอารมณ์อื่นเช่นนี้. เหมือนอย่างว่า รูปหญิงย่อมเข้าถึงจิตตุปบาทของบุรุษผู้หนักในรูป ย่อมพัวพัน ให้เมา ให้มัวเมา ให้หลง ให้ลุ่มหลง ฉันใด เสียงเป็นต้น ที่เหลือหาเป็นฉันนั้นไม่. อนึ่ง เสียงเป็นต้น ย่อมเข้าถึงจิตตุปบาทของบุรุษ ผู้หนักในเสียงเป็นต้น ฉันใด (๑) อารมณ์มีรูปเป็นต้น หาเป็นฉันนั้นไม่ เพราะบรรดาอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น อารมณ์เดียวเท่านั้น ย่อมครอบงำจิตของบุรุษบางคน. สำหรับบุรุษบางคน ๒ อารมณ์บ้าง ๓ อารมณ์บ้าง ๔ อารมณ์บ้าง ๕ อารมณ์บ้าง ครอบงำจิต. ดังนั้น
(๑) ปาฐะว่า ตถา เสสา สทฺทาทโยฯ ยถา จ สทฺทาทิครุกานํ สทฺทาทโย ตถา รูปาทีนิ อารมฺมณหิ พม่าเป็น น ตถา เสสา สทฺทาทโย. ยถา จ สทฺทาทิครุกานํ สทฺทาทโย, น ตถา รูปาทีนิ อารมฺมณานิ. แปลตามพม่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 43
สูตรทั้ง ๕ สูตรนี้ พระองค์ตรัสแล้ว ด้วยอำนาจบุคคลผู้หนักในอารมณ์ ๕ อย่าง ไม่ตรัสด้วยอำนาจปัญจครุกชาดก. ส่วนปัญจครุกชาดก ก็ควรนำมากล่าว เพื่อเป็นพยาน. จริงอยู่ ในชาดกนั้น เมื่อพวกอมนุษย์พากัน จัดร้านตลาดกลางทางกันดาร บรรดาสหาย ๕ คนของมหาบุรุษ สหายผู้หนักในรูป ติดอยู่ในอารมณ์ถึงความย่อยยับ ผู้หนักในเสียงเป็นต้น ติดอยู่ในสัททารมณ์เป็นต้น ก็ถึงความย่อยยับ. เรื่องที่เป็นอดีต ควรนำมากล่าวเพื่อเป็นพยาน
ก็พระสูตรทั้ง ๕ นี้ พระองค์ตรัส ด้วยอำนาจบุคคลผู้หนักในอารมณ์ ๕ อย่างเท่านั้น ก็เพราะเหตุที่ไม่ใช่แต่ผู้ชายอย่างเดียวเท่านั้น เป็นผู้หนักในอารมณ์ทั้ง ๕ แม้หญิงก็เป็นผู้หนักเหมือนกัน ฉะนั้น พระองค์จงตรัสพระสูตรทั้ง ๕ อีก ด้วยอำนาจหญิงผู้หนัก ในอารมณ์แม้เหล่านั้น. เนื้อความแห่งพระสูตรแม้นั้น พึงทราบโดย นัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
แม้บรรดาเรื่องทั้งหลาย ในสูตรที่ ๑ พึงทราบเรื่องของสนม ของมหาราชา ผู้มองดูภิกษุหนุ่ม ซึ่งยืนอยู่ที่ประตูแห่งโลหะปราสาท แล้วก็ตายไป เรื่องนั้นกล่าวไว้พิสดารแล้ว ตอนต้นนั่นแล.
ในสูตรที่ ๒ พึงทราบเรื่องหญิง ผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีพในกรุงสาวัตถี. เล่ากันมาว่า นักดีดพิณชื่อว่า คุตติละ ได้ส่งทรัพย์ ๑,๐๐๐ ไปให้หญิงคนหนึ่ง นางกลับเย้ยหยัน ไม่ปรารถนาจะรับ เขาคิดว่า เราจักทำสิ่งที่ควรทำในเรื่องนี้ เวลาจวนจะเย็น จึงแต่งตัวนั่งที่ประตู
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 44
แห่งหนึ่งตรงหน้าเรือนของนาง ขึ้นสายพิณเหมาะเจาะดีแล้ว จึงขับร้องคลอไปกับเสียงพิณ. หญิงนั้นได้ยินเสียงเพลงขับของเขา คิดว่า เราจักไปหาเขาทางหน้าต่างที่เปิดไว้ ด้วยความสำคัญว่า ประตู ก็พลัดตกลงไปถึงสิ้นชีวิต.
ในสูตรที่ ๓ พึงทราบ กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากพระกาย และกลิ่นอุบล ฟุ้งออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ เรื่องนี้ควรนำมาแสดง ก็ในข้อนี้พึงทราบเรื่อง ดังต่อไปนี้ :-
เล่ากันมาว่า สามีของธิดาแห่งกุฏุมพีผู้หนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา คิดว่า เราเป็นคฤหัสถ์ ไม่สามารถจะบำเพ็ญธรรมนี้ได้ จึงบวชในสำนักของพระปิณฑปาติก เถระ (พระเถระผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร) รูปหนึ่ง. ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทราบภรรยาของเขาว่า หญิงผู้นี้ไม่มีสามี จึงโปรดให้คนนำมาอยู่ในพระราชวัง วันหนึ่ง ทรงถือเอากำดอกอุบลบัวขาบกำหนึ่ง เสด็จเข้าไปในพระราชวัง โปรดให้ประทานดอกอุบลแก่หญิงคนละดอก. เมื่อแบ่งกันอยู่ ดอกอุบล ๒ ดอก ได้ถึงมือของหญิงนั้น. หญิงนั้น แสดงอาการร่าเริง สูดดมแล้วก็ร่ำไห้. พระราชาทรงเห็นอาการทั้ง ๒ ของนาง จึงรับสั่งให้เรียกนางมาตรัสถาม. ฝ่ายนางกราบทูลเหตุที่ตนยินดี และร้องไห้ให้ทรงทราบ. แม้เมื่อนางกราบทูลถึงครั้งที่ ๓ พระราชาไม่ทรงเชื่อ วันรุ่งขึ้น จึงรับสั่งให้คนขนเอาของหอม ที่มีกลิ่นอย่างดี มีระเบียบดอกไม้ และเครื่องลูบไล้เป็นต้นทุกอย่าง ในพระราชนิเวศน์ออกไป ให้ปูอาสนะสำหรับภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายมหาทาน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 45
แด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในเวลาเสร็จภัตกิจ ตรัสถามหญิงนั้นว่า พระเถระรูปไหน เมื่อนางกราบทูลว่า รูปนี้ ทรงทราบ แล้วถวายบังคมพระศาสดา แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอภิกษุสงฆ์จงไปกับพระองค์ พระเถระรูปโน้นของข้าพระองค์จักกระทำอนุโมทนา. พระศาสดาเว้นภิกษุรูปนั้นไว้ แล้วเสด็จไปยังพระวิหาร. พอพระเถระเริ่มกล่าวอนุโมทนา ทั่วพระราชนิเวศน์ เป็นเหมือนเต็มไปด้วยกลิ่นหอม. พระราชาทรงเลื่อมใสว่า นางพูดจริงทีเดียว วันรุ่งขึ้นจึงถามถึงเหตุนั้นกะพระศาสดา. พระศาสดา ตรัสบอกว่า ในอดีตกาล ภิกษุรูปนี้ฟังธรรมกถา เปล่งสาธุการว่า สาธุ สาธุ ไม่ขาดสาย ได้ฟังโดยเคารพ ดูก่อนมหาบพิตร ภิกษุนั้น ได้อานิสงส์นี้มีการเปล่งสาธุการนั้นเป็นมูล
ในเวลาฟังแสดงพระสัทธรรม เมื่อภิกษุนั้นกล่าวว่า สาธุ สาธุ กลิ่นหอมเกิดจากปาก ฟุ้งไป เหมือนกลิ่นดอกอุบล ฉะนั้น.
คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล ในวรรคนี้ท่านกล่าวแต่เรื่องทั้งนั้น. บาลีว่าด้วยรูปจบ.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕
จบ อรรถกถารูปาทิวรรคที่ ๑