กายวิญญัติ
โดย เมตตา  2 ก.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 12811

ขณะที่โบกมือ พยักหน้า หรือ ขยิบตา เพื่อให้ผู้อื่นรู้ความหมายขณะนั้นเกิดเพราะ

กายวิญญัติเป็นปัจจัย ขอเรียนถามท่านอาจารย์วิทยากรว่า ขณะที่กระพริบตาโดยทั่ว

ไป โดยที่ไม่มีการตั้งใจให้ผู้อื่นรู้ความหมายอะไร และขณะที่หายใจเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ทั้งสองกรณีเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน ไม่ทราบว่ามีกายวิญญัติเป็นปัจจัยด้วย

หรือไม่ค่ะ ถ้าไม่มีเพราะเหตุใดค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 2 ก.ค. 2552
ขณะที่กระพริบตาและขณะหายใจโดยไม่มีจุดประสงค์ให้ผู้อื่นรู้ความหมาย

ขณะนั้น ไม่มีกายวิญญัติครับ เพราะไม่มีความประสงค์ให้ผู้อื่นรู้ความหมายอะไร


ความคิดเห็น 2    โดย เมตตา  วันที่ 2 ก.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 3    โดย dhammanath  วันที่ 2 ก.ค. 2552

A. Prachern.s

Coud you please refer the Pali text for Kayavinnatti. I'm sorry that I don't have Thai fonts. I'll try to get Thai fonts and then ask in Thai language.

Thank you for


ความคิดเห็น 4    โดย prachern.s  วันที่ 3 ก.ค. 2552

ขอเชิญคลิกอ่านที่ เรียนถามเกี่ยวกับ กายวิญญัตติรูป


ความคิดเห็น 5    โดย akrapat  วันที่ 3 ก.ค. 2552

กายวิญญัติรูป เท่าที่ได้อ่านดูจุดประสงค์ของการอธิบาย น่าจะมุ่งหมายให้ทราบว่ากายและจิต หรือ รูปกับนาม เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ไม่ว่า จะโดย เจตนา หรือไม่ ก็ตามไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า นะครับ


ความคิดเห็น 6    โดย ใจรวยริน  วันที่ 3 ก.ค. 2552

สัตว์บุคคลที่มีชีวิต มีใจครองเมื่อต้องการสื่อความหมายด้วยกาย

จิตจะเป็นสมุฏฐานให้รูปชนิดหนึ่งเกิดเคลื่อนไหวกายให้สื่อความหมาย

เรียกว่ากายวิญญัติรูป เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวที่เป็นหน้าตาหรือท่าทาง

เมื่อแยกเป็นกลาปที่เล็กสุด เมื่อจิตต้องการสื่อความหมาย

รูปจะประกอบด้วยอวินิพโภครูป 8 กับกายวิญญัติรูป 1

และเมื่อร่างกายเคลื่อนไหวเป็นกิริยาท่าทาง

รูปก็จะประกอบด้วย อวินิพโภครูป 8 กายวิญญัติรูป 1 และวิการรูป 3

แต่ถ้าการเคลื่อนไหวไม่ต้องการสื่อความหมายอะไร

รูปจะมีแต่อวินิพโภครูป 8กับวิการรูป 3เกิดร่วม ไม่มีกายวิญญัติรูปเกิดในกลาปนั้นๆ

รูป เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร

การเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเพราะจิตเกิดมีวาโยธาตุทำให้กายไหวแล้วก็ดับไป

แล้วก็มีจิตเกิดดับ มีรูปเกิดดับไปตามปัจจัยอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถบังคับบัญชาได้

สัตว์ บุคคล จึงไม่มีจริง

เพราะเป็นเพียงสภาวะของนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น


ความคิดเห็น 7    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 5 ก.ค. 2552

ขออนุญาตเรียนสอบถามว่า

จิตที่เป็นสมุฎฐานให้เกิดการกระพริบตา การหายใจ การเต้นของหัวใจ และกิริยาอื่นๆ ที่ไม่มีความหมายนั้น เป็นจิตประเภทใดครับ

และจิตเหล่านี้เกิดดับพร้อมกันรูปด้วยหรือไม่ครับ


ความคิดเห็น 8    โดย prachern.s  วันที่ 6 ก.ค. 2552

จิตที่เป็นสมุฎฐานให้เกิดการกระพริบตา การหายใจ เคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆ

ในชีวิตประจำวันนั้น ส่วนใหญ่เป็นอกุศลจิต และไม่ได้เกิดดับพร้อมรูปครับ


ความคิดเห็น 9    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 6 ก.ค. 2552

ที่อาจารย์ประเชิญกรุณาตอบว่าส่วนใหญ่เป็นอกุศลจิตนั้น

เนื่องจากจิตดังกล่าวเป็นโมหมูลจิตใช่ไหมครับ กล่าวคือ จิตที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ หรือถ้ารู้ก็เป็นโลภมูลจิต

แต่หากเป็นกุศลจิตแล้ว หมายความว่า ขณะนั้นมีสติสัมปชัญญะประกอบด้วย

ส่วนการเต้นของหัวใจ นั้นไม่น่าจะมีกุศลจิตเป็นสมุฎฐานได้นะ ใช่หรือไม่ครับ

รบกวนเรียนถามอีกนิดนะครับ


ความคิดเห็น 10    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 7 ก.ค. 2552

^

^

ขณะที่หลับสนิท (จิตเป็นชาติวิบาก) และในขณะที่กุศลจิตเกิด ทั้งที่เป็นไปกับ

มหากุศลหรือฌาน ขณะนั้นก็ยังมีการเต้นของหัวใจและลมหายใจเข้าออกอยู่ใช่มั้ยคะ


ความคิดเห็น 11    โดย ใจรวยริน  วันที่ 8 ก.ค. 2552

การหายใจเข้าออกในแต่ละครั้งของชิวิตปกติ ไม่ว่าจะเป็นใจเร่งรีบหรือใจรวยริน

ไม่ว่าในขณะหลับหรือตื่น มีทั้งจิตเกิดดับและรูปเกิดดับมากมาย (อย่าคิดจะไปนับ)

กัมมชรูป เป็นที่ก่อเกิดประสาทของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

ทำให้เราได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และกระทบถูกต้องสัมผัสต่างๆ

และยังเป็นที่ก่อเกิดรูปที่กำหนดความเป็นชายหญิง

และเป็นที่ก่อเกิดรูปที่เรียกว่าหทยรูปที่เป็นที่เกิดของจิต

และก็ยังเป็นที่ก่อเกิดรูปที่เรียกว่าชีวิตินทริยรูปทำให้รูปที่ประกอบกันยังไม่ตาย

ตราบใดที่ยังมีกัมมชรูปเกิดประกอบในรูปร่างกายทั้งหมด

หลับไปแล้วก็ยังไม่ถึงแก่กรรม ต้องตื่นขึ้นมากระทำกรรมและรับผลของกรรม

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีรูปที่ก่อเกิดจาก จิตตชรูป ทำให้เราเคลื่อนไหวและพูดจา

และมี อุตุชรูป เกิดเป็นธาตุไฟแทรกซึมไปทั่วรูปร่างกายเพื่อส่งเสริมให้รูปทั้งหลาย

มีพลังงานในการรักษากายไว้ไม่ให้เจ็บป่วยหมดสภาพไป

และยังมี อาหารชรูป คือรูปทีเป็นอาหารที่เรากินเข้าไป เสริมให้รูปที่เกิดอื่นๆ ทั้งหมด

มีการเกิดดับหมุนเวียนกันทำงานต่อเนื่องได้ จะขาดรูปจากสมุฏฐานใดไปไม่ได้

นอกจากรูปเกิดดับมากมาย จิตก็เกิดดับมากมาย (อย่าคิดจะไปนับ)

ดังนั้น ขณะมีลมหายใจ เป็นได้ทั้งกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต และฌานจิต

ที่ท่านว่าในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่เป็นอกุศลจิตนั้นก็เพราะกุศลจิตเกิดน้อยมาก

และที่ว่าไม่ได้เกิดดับพร้อมรูปนั้น ก็คือรูปก็ทยอยกันเกิดดับไป แต่จิตเกิดดับทีละขณะ

ถ้าจิตดวงหนึ่งเกิดพร้อมรูปๆ หนึ่ง จิตย่อมดับไปก่อนกว่ารูปจะดับ


ความคิดเห็น 12    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 8 ก.ค. 2552

เข้าใจแล้วครับ ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย dhammanath  วันที่ 6 ส.ค. 2552

ขอขอบคุณอาจารย์ประเชิญ และทุกท่านมากครับ ที่กรุณาช่วยตอบและแสดงความคิดเห็น ผมเข้ามาจะโพสต์ข้อความหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้โพสต์ เพราะเปลี่ยนฟ้อนต์ให้เป็นตัวไทยไม่ได้ ตอนนี้เปลี่ยนได้แล้วครั้บ