ใคร่ขอเรียนถามเกี่ยวกับกรรมติดตามจิต ดังนี้
๑. ในบุคคลๆ หนึ่ง เมื่อจิตแต่ละขณะเกิดขึ้นแล้วดับไป อกุศลหรือกุศลกรรมที่เกิดกับจิตหนึ่ง จะตามไปให้ผลกับจิตขณะต่อไปที่เกิดขึ้นตามมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นจิตคนละจิต
๒. ในต่างบุคคล ทำไมจิตที่จุติจากภพหรือรูปกายหนึ่ง จึงไปปฏิสนธิที่ภพหรือรูปกายที่เกิดใหม่ได้
๓. เมื่อจิตเกิดแล้วดับ ทำไมพระอริยเจ้าหรือในพระไตรปิฎก จึงแสดงถึงว่าระลึกชาติก่อนๆ หลายชาติที่เกิดมาได้ ในเมื่อไม่ใช่จิตดวงเดียงกัน
คำถามสรุปคือ เหตุใดกรรมไม่ดับตามจิตที่สร้างกรรมนั้น
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. ในบุคคลๆ หนึ่ง เมื่อจิตแต่ละขณะเกิดขึ้นแล้วดับไป อกุศลหรือกุศลกรรมที่เกิดกับจิต หนึ่ง จะตามไปให้ผลกับจิตขณะต่อไปที่เกิดขึ้นตามมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นจิตคนละจิต
จิตดวงที่ดับไปแล้วที่เป็นุศลกรรม และอกุศลกรรม สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดจิตดวง ใหม่โดย จิตที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม เป้นเหตุ เป็นปัจจัยให้เกิผลได้ ครับ คือ ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ห้า ยังมีการสืบต่อของจิต เจตสิก ก็ยังมีโอากสให้เกิดจิตดวงใหม่ ที่เป้นผลได้แม้จิตดวงก่อนจะดับไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เปลวเทียนตอนหัสค่ำ แม้จะ ดับไปแล้ว แต่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดเปลวเทียนตอนรุ่งเช้าได้ ครับ
๒. ในต่างบุคคล ทำไมจิตที่จุติจากภพหรือรูปกายหนึ่ง จึงไปปฏิสนธิที่ภพหรือรูปกาย ที่เกิดใหม่ได้
เพราะ อาศัย จิตดวงใหม่ที่เป็นผลของกรรมเกิดขึ้น ที่เรียกว่า ปฏิสนธิจิต และ จิต นั้น ก็เกิดพร้อมรูปที่เกิดจากกรรม อันมี กรรมในอดีตเป็นปัจจัย ทำให้เกิดรูปใหม่ขึ้น มาได้ ครับ
๓. เมื่อจิตเกิดแล้วดับ ทำไมพระอริยเจ้าหรือในพระไตรปิฎก จึงแสดงถึงว่าระลึกชาติ ก่อนๆ หลายชาติที่เกิดมาได้ ในเมื่อไม่ใช่จิตดวงเดียงกัน เพราะ ต้องไม่ลืมว่า แม้จิตดวงก่อนจะดับไปแล้ว แต่คยเกิดสัญญาเจตสิกที่เป็น สภาพธรรมที่จำ เมื่ออรมปัญญาจนได้ฌานสูงสุด ย่อมมีปัจจัยที่ทำให้นึกเรื่องใน อดีตได้ แม้แต่เราเรื่องใกล้ก็พอนึกได้แต้ ผู้ที่มีปัญญามากย่อมระลึกไปได้ไกล เพราะ ปัญญาที่มีกำลัง และ สัญญาเจตสิกที่เคยจำไว้ สะสมจำในเรือ่งนั้นได้ ก็เป็น ปัจจัที่ทำให้ระลึกได้ครับ แม้เรื่องนั้นจะดับไปนานแล้ว
คำถามสรุปคือ เหตุใดกรรมไม่ดับตามจิตที่สร้างกรรมนั้น
กรรม ที่เป็นเจตนาเจตสิกดับไปด้วย แต่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดจิตดวงใหม่ที่เป็นผล ของกรรม ที่เป็นวิบากจิต และ เจตสิกด้อีกในอนาคต ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ห้า ครับ ผู้ที่ไม่มีการเกิดข7hนของกรรม และ จิตอีก คือ พระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้ว ครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาคะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์จริงๆ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ว่ามีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ที่กล่าวว่า เป็นบุคคลหนึ่งๆ ก็เพราะว่ามีธรรม คือ จิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไป ถ้าไม่มีธรรมเหล่านี้แล้ว การบัญญัติเรียกว่าเป็นบุคคล ก็มีไม่ได้ ทุกขณะไม่เคยขาดจิตเลย มีจิตเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่พร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะ จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ อรรถของจิตประการหนึ่ง คือ เป็นธรรมที่สะสม คือ สะสมทั้งกุศล และ อกุศล,กุศลและอกุศลที่ทำแล้ว ไม่สูญหายไปไหนสะสมสืบต่อยู่ในจิต เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็ย่อมทำให้ผลเกิดขึ้นเป็นไป ตามควรแก่เหตุ
ตราบใดที่ยังมีเหตุที่ทำให้มีการเกิด อยู่ นั่นก็คือ อวิชชา และ ตัณหา การเกิดก็ย่อม มีอยู่ตราบนั้นซึ่งก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ที่เกิด แต่เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อจิต ขณะสุดท้ายในแต่ะละภพในแต่ละชาติ คือ จุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิต ขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงก็ย่อมเป็นเช่นนี้ และชีวิตที่เป็นไปในแต่ละภพในแต่ละชาตินั้น ก็ไม่พ้นไปจาก ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ
การได้รับผลของกรรม และ การสะสมเหตุ ซึ่งก็มีทั้งดี และ ไม่ดี ตามเหตุปัจจัย ตามการสะสมของแต่ละบุคคล และที่ควรพิจารณา คือ ในทีุ่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น อาจจะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ก็ได้ ซึ่งไม่สามารถที่จะทราบได้เลย เพราะฉะนั้น การสะสมความดี และฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จึงเป็นกิจที่ควรทำ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จิตที่เราทำกุศล หรือ อกุศล ถึแม้จะดับไปนานแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิบากในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้ ชาติหน้า หรือ นับชาติไม่ถ้วน ค่ะ
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ