ศึกษาธรรมเพื่อละอาลัย
โดย เมตตา  12 มิ.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21249

หากไม่ได้ฟังพระธรรม จะมีใครรู้ว่า ทันทีที่เห็น ได้ยิน ... ก็ถูกผูกไว้ด้วยอาลัย ถูกผูกไว้ด้วยความติดข้อง ทรงแสดงให้เห็นว่าความติดข้องในชีวิตแต่ละวันตั้งแต่เกิดจนตายมีมากมายเพียงใด ฟังแล้วจึงรู้ว่ายังอีกไกลแค่ไหนที่จะหมดโลภะ ไม่มีใครที่จะละโลภะได้ (นายช่างผู้สร้างเรือน สร้างเรือนแล้วเรือนเล่าทุกภพชาติ) มีแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ในปฐมโพธิกาล ทรงเปล่งอุทาน ...

"เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์, แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่ ของท่าน เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว"

ทรงแสดงหนทางที่จะละโลภะ เพื่อถึงความไม่มีโลภะ ทรงตรัสคำจริงซึ่งเป็นวาจาสัจจะ เป็นวจีสุจริต และคำจริงที่สุด ก็คือ เรื่องของอริยสัจจ์ ๔ ทรงแสดง ทุกขสัจจะ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จึงเป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในชีวิตแต่ละวัน มีเห็น ได้ยิน ... และคิดเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง สัจจะที่สองคือ ทุกขสมุทัย ทรงแสดงว่าโลภะเป็นสิ่งที่ควรละ เพราะโลภะนั้นเป็นนายช่างผู้สร้างเรือน สองสัจจะแรกนั้นเป็นธรรมที่ลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยาก ธรรมกำลังเกิดดับแล้วไม่เห็นตามความเป็นจริงจึงลึกซึ้ง สัจจะที่สามคือพระนิพพาน ก่อนที่จะหมดจรดจากกิเลสได้จนถึงพระนิพพาน ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะพ้นจากทุกข์ได้นั่นคือสัจจะที่สี่ ท่านอาจารย์กล่าวว่าขณะนี้หรือเปล่า ที่กำลังฟังให้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ สิ่งที่มีจริงกำลังเกิดขึ้นแล้วดับไปก็ยังไม่เห็น ...

พระธรรมลึกซึ้งนัก จึงต้องเพียรที่จะฟังแล้วฟังอีกให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏแต่ละทาง มีลักษณะจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคือ การอบรมให้เกิดความเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เห็น ได้ยิน สี เสียง โกรธ อิจฉา ... แม้โลภะ ความติดข้อง เกิดปัญญาก็สามารถรู้ว่าเป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

อบรม คือ การฟังให้เข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ให้เข้าใจขึ้นๆ ให้มีเพิ่มขึ้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

ประทับใจกับข้อความลึกซึ้ง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ...

... การฟังให้เข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ให้เข้าใจขึ้น นี่เป็นหนทาง (มรรค) หรือเปล่า? ...

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาด้วยครับ


ความคิดเห็น 2    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ

ขออนุญาตเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจเพิ่มเติมครับว่า

ตามอรรถาธิบายในพระสูตร ท่านกล่าวว่า เบญจกามคุณ หรือ วัฏฏ์ คีอ อาลัย

ที่กล่าวว่าเบญจกามคุณ มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันเป็นที่ติดข้อง

แต่เหตุใด ธรรมารมณ์ ไม่อยู่รวมในอาลัยด้วยครับ หรือไม่เกี่ยวกับความติดข้องครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

อาลัย มีหลากหลายนัย ครับ ซึ่ง อาลัย หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นที่ตั้งของโลภะ ความยินดี พอใจ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็น กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็ชื่อว่าเป็นอารมณ์ของโลภะ คือ โลภะติดข้องได้ ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นอาลัย คือ กามคุณ ๕ ครับ และ อาลัย ยังหมายถึง ตัวโลภะเอง และ อาลัย ยังหมายถึงวัฏฏะทั้งสิ้น นั่นคือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป อันไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นพระนิพพาน หรือ มีนิพพานเป็นอารมณ์ สภาพธรรมเหล่านั้นที่เป็นวัฏฏะ คือ จิต เจตสิก รูป สภาพธรรมที่สามารถทำให้โลภะติดข้องได้ ซึ่ง โลภะไม่ติดข้อง โลกุตตรธรรม ๙ นอกนั้น โลภะติดข้องหมด สภาพธรรมเหล่านั้นที่เหลือ เป็นวัฏฏะ เป็นสภาพธรรมที่เป็นอาลัย เพราะฉะนั้น ในธัมมารมณ์ อันเป็นอารมณ์ที่รู้ได้ทางใจ ประกอบด้วยจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ ปสาทรูป ๕ สุขุมรูป ๑๖ นิพพาน บัญญัติ สภาพธรรมบางอย่าง เป็นที่ติดข้องของโลภะ เป็นสภาพธรรมที่เป็นอาลัย แต่ พระนิพพาน ที่เป็นธัมมารมณ์ ไม่เป็นที่ตั้งให้โลภะติดข้องได้เลย ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวว่า สภาพธรรมที่เป็นอาลัย ก็คือ วัฏฏะทั้งสิ้น รวมธัมมารมณ์บางประการ ไม่รวมพระนิพพาน และโลกุตตรจิต จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่า ธัมมารมณ์ทั้งหมด เป็นสภาพธรรมที่เป็นอาลัย ตามเหตุผลที่กล่าวมา ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา


ความคิดเห็น 4    โดย Graabphra  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณมาก และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย daris  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

กราบของพระคุณและขออนุโมทนาครับ

คำอุทานที่ทรงเปล่งในปฐมโพธิกาล ได้อ่านก็ซาบซึ้งยิ่งนัก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัป เพื่อที่จะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้สามารถพ้นจากสังสารวัฏฏ์ตามพระองค์ได้ เมื่อเรามีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่มีค่ายิ่งก็ควรฟังด้วยความเคารพ พิจารณาจนความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามลำดับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 6    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

เข้าใจได้มากขึ้นทีเดียวครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมมากครับ


ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความติดข้องยินดีพอใจ (ความอาลัย) ติดแน่นเป็นไปในอารมณ์บ่อยๆ เนืองๆ เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งเคยเกิด เคยสะสมมาแล้วมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ หน้าที่ของโลภะ คือ ติดข้อง ยินดีพอใจ ผูกพันกับสิ่งที่ติดข้อง ไม่ปล่อย ไม่สละ และเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้กุศลธรรมเจริญขึ้น สิ่งที่เป็นที่ตั้งให้โลภะติดข้อง ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างกว้างขวาง ว่า ที่ตั้งแห่งความติดข้องก็คือ สภาพธรรมที่เกิดดับ ที่เป็นวัฏฏะ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกล่าวถึงสภาพธรรมนั้นโดยนัยใดก็ตาม ความติดข้องยินดีพอใจ ซึ่งเป็นความอาลัย เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ คือมีโลภะ มีอาลัย แต่สะสมศรัทธามาที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเอง จนกระทั่งสามารถดับความติดข้องยินดีพอใจที่เป็นอาลัยได้ เป็นผู้ไม่มีอาลัย คือ ไม่มีความติดข้อง ถึงความเป็นพระอรหันต์ (ชื่อหนึ่งของพระอรหันต์ คือ อนาลโย แปลว่า ผู้ไม่มีความอาลัย) นี้คือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ซึ่งต้องได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะพระธรรมทั้งหมดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อละความอาลัย กล่าวคือ เพื่อละความติดข้องจนหมดสิ้น ไม่ต้องมีการเกิดอีกในภพใหม่ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อีก ถึงความเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ.

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่าน ด้วยครับ...


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 12 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย nong  วันที่ 13 มิ.ย. 2555

ทำให้เข้าใจคำว่าวัฏฏะละเอียดขึ้นค่ะ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 10    โดย pat_jesty  วันที่ 13 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย Jans  วันที่ 16 มิ.ย. 2555

ในปฐมโพธิกาล ทรงเปล่งอุทาน ... "เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบจึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์, แน่ะ นายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่ ของท่าน เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเรา ถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเรา บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ