ความจริงที่ต่างกัน
โดย ปุจฉา  17 ก.ย. 2551
หัวข้อหมายเลข 9869

จากหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป หน้าที่ 21 "ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น ต่างกับ ความจริงที่เราคิดนึกหรือเข้าใจอย่างไรบ้าง"

ขอเรียนถามดังนี้ครับ

1. ความโกรธเกิดขึ้น แต่เราไม่ได้ฟังพระธรรม เป็นความจริงที่เข้าใจที่ต่างกันอย่างไร

2. ถ้าเราได้ฟังพระธรรมบ้าง แต่สติก็ไม่เกิด ความโกรธเกิด ความเข้าใจความจริงจะยัง ต่างจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้อยู่อีกหรือไม่

3. อย่างไรจึงจะเหมือน คือตรงกับความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ครับ

ขอบพระคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 19 ก.ย. 2551

๑. ต่างตรงที่ยึดถือความโกรธนั้นว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล

๒. เหมือนข้อที่ ๑ เพราะยังละความเห็นผิดไม่ได้ เว้นแต่ขณะที่สติเกิด

๓. สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นธรรมะ เป็นปรมัตถ์ เป็นขันธ์ อย่างหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์บุคคลฯ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 20 ก.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

1. ไม่รู้ว่าเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา

2. ฟังธรรมแล้ว ปัญญามีเพียงขั้นการฟัง ยังไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะที่สติไม่เกิด เป็นอกุศลก็ยังไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรมเช่นกัน ต่างกับที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพราะพระองค์ทรงประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

3. สภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่มีจริงอยู่แล้ว สติและปัญญาเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 20 ก.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอกุศลธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง เป็นสภาพธรรมที่ประทุษร้าย หยาบกระด้าง ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสประเภทนี้ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ความโกรธก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ฟังในสิ่งที่มีจริงใน-ชีวิตประจำวัน ย่อมไม่สามารถที่จะรู้ถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นได้ว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

๒. ปัญญาขั้นการฟัง ไม่สามารถที่จะดับกิเลสที่สั่งสมมาอย่างเนิ่นนานได้ แต่อบรมให้เจริญขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะได้ฟังพระธรรมมาบ้าง แต่ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ความโกรธเกิดขึ้น ย่อมไม่สามารถที่จะรู้ความเป็นจริงของความโกรธที่เกิดขึ้นได้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

๓. สภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เป็นสภาพธรรมที่ปัญญาเท่านั้นจะประจักษ์แจ้งได้ ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 20 ก.ย. 2551

1. ต่างกันตรงที่อวิชชาคือความไม่รู้ กับวิชาคือความรู้ค่ะ

2. ถ้าได้ฟังธรรม ความรู้ความเข้าใจจะค่อยๆ เจริญขึ้น จากที่ไม่เคยรู้ค่ะ

3. ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าขณะนี้เป็นธรรมะ จนกว่าปัญญาจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย wirat.k  วันที่ 22 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 6    โดย choonj  วันที่ 22 ก.ย. 2551

๑) ความโกรธ คือ อาการประทุษร้ายอารมณ์ เมื่อเกิดจะทำลายสิ่งที่ผูกโกรธเช่นทำลายคนสัตว์สิ่งของ นี่คือความจริง เมื่อได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ก็จะรู้ว่าโกรธคือโทสะเป็นสภาพธรรมชนิดหนี่ง เกิดแล้วก็ดับ หาสาระไม่ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น และนี่ก็เป็นความจริงอีกชนิดหนี่ง ความต่างของสองชนิดนี้ คือ ผู้โกรธและสิ่งที่ผูกโกรธไม่เดือดร้อนในชนิดหลัง ครับ

๒) ถ้าได้ฟังธรรมมาบ้างแล้วเข้าใจ และรู้ว่าสติไม่เกิด ความเข้าใจความจริงไม่ต่างจากที่พระองค์ตรัสรู้ เพียงแต่กำลังยังอ่อน จึงต้องฟังธรรมต่อไปให้มีกำลังมากขี้นจนสังขารขันธ์สามารถปรุงแต่ให้สติเกิด

๓) ต่อจากข้อ ๒ เมื่อสังขารขันธ์ปรุงแต่ง จนมีกำลังและสติระลึกในลักษณะอนัตตา จะมีลักษณะเหมือนกับความชำนาญ คือมีรู้ ก็จะตรงกับความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ครับ


ความคิดเห็น 7    โดย ปริศนา  วันที่ 23 ก.ย. 2551

ความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ลึกซึ้ง จึงเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก.จึงนำมาเปรียบกับปุถุชนไม่ได้เลย แต่ทาง (มรรค) นั้นมีอยู่ถ้าเริ่มต้นที่จะให้โอกาสกับตัวเองก็เริ่มศึกษาเสียก่อนที่จะหมดโอกาสถ้าฟังให้เข้าใจก่อนจะสงสัยน้อยลงถ้ายังสงสัยก็คือยังไม่เข้าใจปุถุชนไม่เห็นโทษของความโกรธปุถุชนเป็นผู้มีปกติหลงลืมสติเป็นธรรมดาควรทราบก่อนว่าพระผู้มีพระภาคตรัสรู้อะไร?ทรงแสดงธรรมอะไร เพื่ออะไร เมื่อเข้าใจแล้วความเห็นถูกจะทำให้ทราบว่าอย่างไรคือตรงเป็นความรู้ที่ต้องรู้ด้วยตัวเองจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อนค่ะ