[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1036
อาสวักขยญาณนิทเทส
๕๕. อรรถกถาอาสวักขยญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1036
อาสวักขยญาณนิทเทส
[๒๕๘] ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณอย่างไร?
อินทรีย์ ๓ ประการเป็นไฉน คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ๑ อัญญินทรีย์ ๑ อัญญาตาวินทรีย์ ๑.
อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ย่อมถึงฐานะเท่าไร อัญญินทรีย์ย่อมถึงฐานะเท่าไร อัญญาตาวินทรีย์ย่อมถึงฐานะเท่าไร?
อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ย่อมถึงฐานะ ๑ คือ โสดาปัตติมรรค อัญญินทรีย์ย่อมถึงฐานะ ๖ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อัญญาตาวินทรีย์ย่อมถึงฐานะ ๑ คือ อรหัตตผล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1037
[๒๕๙] ในขณะโสดาปัตติมรรค อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร วีริยินทรีย์มีการประคองไว้เป็นบริวาร สตินทรีย์มีความตั้งมั่นเป็นบริวาร สมาธินทรีย์มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นบริวาร ปัญญินทรีย์มีความเห็นเป็นบริวาร มนินทรีย์มีความรู้แจ้งเป็นบริวาร โสมนัสสินทรีย์มีความยินดีเป็นบริวาร ชีวิตินทรีย์มีความเป็นอธิบดีในความสืบต่อที่กำลังเป็นไปเป็นบริวาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะโสดาปัตติมรรค นอกจากรูปซึ่งมีจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นกุศลทั้งหมดนั่นแล ล้วนไม่มีอาสวะ เป็นธรรมเครื่องนำออก เป็นธรรมเครื่องให้ถึงความไม่สั่งสม เป็นโลกุตระ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะโสดาปัตติมรรค อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวาร มีธรรมอื่นๆ เป็นบริวาร มีธรรมที่อาศัยกันเป็นบริวาร มีธรรมที่ประกอบกันเป็นบริวาร เป็นสหรคต เกิดร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน ประกอบด้วยกัน ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั้น.
[๒๖๐] ในขณะโสดาปัตติผล อัญญินทริย์มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร... ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะโสดาปัตติผลทั้งหมดนั่นแลเป็นอัพยากฤต นอกจากรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ล้วนไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตระ มีนิพพานเป็นอารมณ์ในขณะโสดาปัตติผล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1038
อัญญินทรีย์มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวาร... ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอัญญินทรีย์นั้น.
[๒๖๑] ในขณะสกทาคามิมรรค ฯลฯ ในขณะสกทาคามิผล ฯลฯ ในขณะอนาคามิมรรค ฯลฯ ในขณะอนาคามิผล ฯลฯ
ในขณะอรหัตตมรรค อัญญินทรีย์มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร ฯลฯ ชีวิตินทรีย์มีความเป็นอธิบดีในความสืบต่อที่กำลังเป็นไปเป็นบริวาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะอรหัตตมรรค นอกจากรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ทั้งหมดนั่นแลเป็นกุศลล้วนไม่มีอาสวะ เป็นธรรมเครื่องนำออก เป็นธรรมเครื่องให้ถึงความไม่สั่งสม เป็นโลกุตระ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะอรหัตตมรรค อัญญินทรีย์มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวาร... ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอัญญินทรีย์นั้น.
[๒๖๒] ในขณะอรหัตตผล อัญญาตาวินทรีย์มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร วีริยินทรีย์มีการประคองไว้เป็นบริวาร สตินทรีย์มีความตั้งมั่นเป็นบริวาร สมาธินทรีย์มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นบริวาร ปัญญินทรีย์มีความเห็นเป็นบริวาร มนินทรีย์มีความรู้แจ้งเป็นบริวาร โสมนัสสินทรีย์มีความยินดีเป็นบริวาร ชีวิตินทรีย์มีความเป็นอธิบดีในการสืบต่อที่กำลังเป็นไปเป็นบริวาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะอรหัตตผล ทั้งหมดนั่นแลเป็นอัพยากฤตนอกจากรูปที่มีจิตเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1039
สมุฏฐาน ล้วนไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตระ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะอรหัตตผล อัญญาตาวินทรีย์มีอินทรีย์ ๘ ประการนี้ซึ่งมีสหชาตธรรมเป็นบริวาร มีธรรมอื่นๆ เป็นบริวาร มีธรรมที่อาศัยกันเป็นบริวาร มีธรรมที่ประกอบกันเป็นบริวาร เป็นสหรคต เกิดร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน ประกอบด้วยกัน ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารของอัญญาตาวินทรีย์นั้น อินทรีย์ ๘ หมวดเหล่านี้ รวมเป็นอาการ ๖๔ ด้วยประการฉะนี้.
[๒๖๓] คำว่า อาสวะ ความว่า อาสวะเหล่านั้นเป็นไฉน? อาสวะเหล่านั้น คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ.
อาสวะเหล่านั้นย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐาสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันเป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปเพราะโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะโสดาปัตติมรรคนี้ กามาสวะส่วนหยาบๆ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปเพราะสกทาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้น ไปในขณะสกทาคามิมรรคนี้ กามาสวะทั้งสิ้น ภวาสวะ อวิชชาสวะ ซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมในรูปเพราะอนาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอนาคามิมรรคนี้ ภวาสวะ อวิชชาสวะทั้งสิ้น ย่อมสิ้นไปเพราะอรหัตตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอรหัตตมรรคนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1040
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณ.
๕๕. อรรถกถาอาสวักขยญาณนิทเทส
๒๕๘ - ๒๖๓] พึงทราบวินิจฉัยในอาสวักขยญาณนิทเทสดังต่อไปนี้.
บทมีอาทิว่า อนญฺาตญฺสฺสามีตินฺทฺริยํ มีอรรถดังได้กล่าวแล้ว.
บทว่า กติ านานิ คจฺฉติ - ย่อมถึงฐานะเท่าไร เป็นคำถามเพื่อกำหนดฐานะที่เกิดของอินทรีย์หนึ่งๆ.
บทว่า เอกํ านํ คจิฉติ - ย่อมถึงฐานะ ๑ ท่านอธิบายว่า ย่อมเกิดในฐานะ ๑. ฐานะโอกาสที่เกิด ท่านกล่าวว่า ฐานะ เพราะมีที่ตั้ง
บทว่า ฉ านานิ - ฐานะ ๖ คือ ในขณะมรรคและผล ๖. ในอินทรีย์ ๓ มีอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นต้นแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เพื่อแสดงว่า อินทรีย์หนึ่งๆ เป็นอินทรีย์ยิ่ง. ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า สทฺธินฺทฺริยํ อธิโมกฺขปริวารํ โหติ - มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร. ท่านกล่าวอธิโมกข์เป็นต้น ด้วยสามารถกิจแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1041
สัทธินทรีย์เป็นต้น ในบทมีอาทิว่า สทฺธินฺทฺริยสฺส อธิโมกฺขฏฺโ (๑) - มีอรรถว่าน้อมใจเชื่อแห่งสัทธินทรีย์ ฉันใด. แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้น ท่านกล่าวว่า บทว่า อธิโมกฺขปริวารํ โหติ - เป็นบริวารของการน้อมใจเชื่อ คือ สัทธินทรีย์เป็นบริวารด้วยกิจแห่งการน้อมใจเชื่อ. แม้ในบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้.
บทว่า ปริวารํ เป็นลิงควิปลาศ.
บทว่า ปญฺินฺทิริยํ - ปัญญินทรีย์ ท่านกล่าว อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั่นแหละทำไว้ต่างหากเพื่อแสดงสภาพรู้. แม้ในอภิธรรม ท่านก็จำแนกปัญญาหนึ่งไว้ ๘ ส่วน ในขณะมรรคและในขณะผล เพื่อแสดงความพิเศษของกิจด้วยปัญญา.
บทว่า อภิสนฺทนปริวารํ - มีความยินดีเป็นบริวาร คือ โสมนัสสินทรีย์เป็นบริวารแห่งจิตและเจตสิก ด้วยกิจคือความสิเนหาดุจน้ำเป็นบริวารแห่งจุณเครื่องฟอกตัวในเวลาอาบน้ำ. บทนี้ ท่านกล่าวด้วยสามารถมรรคอันสัมปยุตด้วยโสมนัส. พึงเห็นอุเบกขินทรีย์ในฐานะแห่งโสมนัสสินทรีย์ ในมรรคอันสัมปยุตด้วยอุเบกขา.
อนึ่ง พึงถือเอาอุเบกขินทรีย์นั้นว่า มีความไม่เพิ่มขึ้นเป็นบริวารของสัมปยุตธรรมทั้งหลาย.
๑. ขุ. ป. ๓๑/๓๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1042
บทว่า ปวตฺตสนฺตตาธิปเตยฺยปริวารํ - ชีวิตินทรีย์มีความเป็นอธิบดีในความสืบต่อที่กำลังเป็นไปเป็นบริวาร คือความสืบต่อที่กำลังเป็นไป ชื่อว่า ปวัตตสันตตี. อธิบายว่า สันดานที่กำลังเป็นไปอยู่. ความเป็นแห่งอธิบดี ชื่อว่า อธิปเตยยะ ความเป็นอธิบดีแห่งความสืบต่อที่กำลังเป็นไป ชื่อว่า ปวัตตสันตตาธิปเตยยะ.
ชีวิตินทรีย์เป็นบริวารแห่งอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ เพราะเป็นปัจจัยแห่งความเป็นไป เบื้องบนของชีวิตนทรีย์ที่กำลังเป็นไปอยู่ และเพราะความเป็นอธิบดีของความสืบต่อที่เป็นไปด้วยสามารถแห่งเบื้องต้นและเบื้องปลาย.
บทมีอาทิว่า โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ ชาตา ธมฺมา - ธรรมทั้งหลายเกิดในขณะแห่งโสดาปัตติผล ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงคุณแห่งธรรมสัมปยุตด้วยมรรคทั้งปวง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มคฺคกฺขเณ ชาตา - ธรรมทั้งหลายเกิดในขณะแห่งมรรค คือ ธรรมที่ตั้งอยู่ในมรรคอย่างนั้น. มิใช่ธรรมอื่น. เพราะรูปแม้ตั้งอยู่ในมรรค ก็ไม่ได้ชื่อว่ากุศลเป็นต้น. ฉะนั้น เมื่อนำรูปนั้นออกไป จึงกล่าวว่า เปตฺวา จิตฺตสมุฏฺานํ รูปํ - นอกจากรูปมีจิตเป็นสมุฏฐาน. เพราะว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นเป็นกุศล ด้วยอรรถว่ามีการทำลายสิ่งน่าเกลียดเป็นต้น. ธรรมเหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1043
ทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว เป็นไปอยู่. ชื่อว่า อนาสวา - เพราะไม่มีอาสวะ.
ธรรมทั้งหลายตัดมูลแห่งวัฏฏะ ทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่า นิยฺยานิกา เพราะนำออกจากวัฏฏะ.
ธรรมที่กล่าวคือ กุศล อกุศล ชื่อว่า อปจยคามิโน เพราะทำนิพพาน กล่าวคือ ความไม่สะสม เพราะความปราศจากไปให้เป็นอารมณ์แล้วเป็นไป ย่อมถึงความไม่สะสม.
ชื่อว่า อปจยคามิโน เพราะไม่สะสม คือ กำจัดสิ่งที่เป็นไปอยู่บ้าง.
ชื่อว่า โลกุตฺตรา เพราะข้ามออกไปจากโลก โดยความไม่เกี่ยวเนื่องในโลก.
ชื่อว่า นิพฺพานารมฺมณา เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์.
บทมีอาทิว่า อิมานิ อฏฺินฺทฺริยานิ มีอินทรีย์ ๘ ท่านกล่าวเพื่อแสดงความเป็นบริวารดังกล่าวแล้วในตอนก่อน ความเป็นธรรม มีอาทิ สหรคตด้วยอินทรีย์นั้น และอาการดังได้กล่าวแล้วในเบื้องต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺินฺทฺริยานิ คือ อินทรีย์ ๘ พร้อมด้วยปัญญินทรีย์ มีนัยดังกล่าวแล้วในตอนก่อน.
บทว่า สหชาตปริวารา - มีสหชาตเป็นบริวาร คือ อินทรีย์ ๗ นอกนั้น พร้อมด้วยอินทรีย์หนึ่งๆ ในอินทรีย์ ๘ เป็นสหชาต จึงชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1044
มีสหชาตของอินทรีย์นั้นเป็นบริวาร. อนึ่ง ธรรมอื่นๆ เป็น อญฺมญฺปริวารา คือ มีธรรมอื่นๆ เป็นบริวาร ด้วยประการฉะนี้. ธรรมทั้งหลาย มีธรรมที่อาศัยกันเป็นบริวาร มีธรรมที่ประกอบกันเป็นบริวารของกันและกันก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า สหคตา คือ ถึงภาวะมีเกิดร่วมกันกับอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั้น.
บทว่า สหชาตา คือ เกิดพร้อมกันกับอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั้น.
บทว่า สํสฏฺา คือ เกี่ยวข้องกันกับอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั้น.
บทว่า สมฺปยุตฺตา คือ ประกอบด้วยประการมีเกิดร่วมกันเสมอกับด้วยอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั้น.
บทว่า เตว ได้แก่ ธรรม คือ อินทรีย์ ๘ เหล่านั้นนั่นเอง.
บทว่า ตสฺส ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์.
บทว่า อาการา คือ ส่วนที่เป็นบริวาร.
บทว่า ผลกฺขเณ ชาตา ธมฺมา สพฺเพว อพฺยากตา โหนฺติ - ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะผล ทั้งหมดเป็นอัพยากฤต คือ ท่านกล่าวพร้อมกับรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน เพราะแม้รูปก็เป็นอัพยากฤต. ท่านไม่กล่าวว่า เป็นกุศล เป็นนิยยานิกะ และเป็นอปจยคามี ในขณะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1045
ผล เพราะมรรคเป็นกุศล เป็นนิยยานิกะ และเป็นอปจยคามี.
บทมีอาทิว่า อิติ เป็นบทสรูป มีประการดังกล่าวแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺฏฺกานิ - อินทรีย์ ๘ หมวด คือ หมวด ๘ แห่งอินทรีย์ อย่างละ ๘ ด้วยสามารถหมวด ๘ หมวดหนึ่งๆ ในมรรคและผล ๘.
บทว่า จตุสฏฺี โหนฺติ คือ รวมเป็นอาการ ๖๔.
บทมีอาทิว่า อาสวา มีความดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.
ในที่นี้ พึงทราบว่า ท่านมิได้กล่าวถึงอาสวะอันทำลายด้วยอรหัตตมรรคเท่านั้น กล่าวถึงการทำลายด้วยมรรค ๓ หมวดที่เหลือ โดยเพียงเป็นคำกล่าวธรรมดาถึงความสิ้นอาสวะ. เพราะท่านกล่าวถึงอรหัตตมรรคญาณว่า ขเย าณํ - ญาณในความสิ้นไป เพราะสิ้นอาสวะไม่มีอาสวะไรๆ เหลือเลย. ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอรหันต์ขีณาสพ ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาอาสวักขยญาณนิทเทส