มีญาติแนะนำให้ผมฟังพระธรรมของทางมูลนิธิมาได้สักระยะนึงแล้วครับ ช่วงนี้เกิดความสนใจที่จะศึกษาพระธรรมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ไม่ค่อยสนใจศึกษาธรรมเลย (เคยไปแต่สำนักปฏิบัติจนตอนนี้เลิกไปแล้วครับเพราะได้ฟังพระธรรม) ผมมีหลายคำถามที่สงสัยและสับสนในพระธรรม จึงอยากขอทางมูลนิธิช่วยตอบคำถามให้เกิดความเข้าใจทีครับ
1. ผมได้ฟังเรื่องการละความติดข้องในสิ่งที่หมดไปแล้ว โดยเห็นว่าเป็นเพียงสภาพธรรมะ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎทางตา ทางหู ไม่เห็นว่าเป็นสมมติบัญญัติ ไม่ยึดถือว่าอะไรเป็นของเรา ผมสงสัยว่าท่านที่เห็นว่าทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมะ เพียงปรากฏแล้วก็ดับไป ไม่ยึดถือว่าอะไรเป็นของเรา ท่านเหล่านั้นยังสามารถเสพกาม ท่องเที่ยวเริงรมย์ชมบรรยากาศ หรือแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง แสวงหาที่อยู่อาศัยอยู่หรือไม่ครับ ถ้ายังแสวงหาอยู่ ยังชอบท่องเที่ยวจะไม่เป็นการติดข้องในสิ่งที่หมดไปเหรอครับ
2. หากครอบครัวเรามีหนี้สินกำลังจะถูกธนาคารยึดที่อยู่อาศัยที่เราติดข้องยึดถือว่าเป็นบ้านของเรา ผมพิจารณาตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมะ เพียงปรากฎแล้วก็หมดไปไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นกรรมเก่าของเราเองที่กำลังจะถูกยึดทรัพย์ ญาติผมที่แนะนำให้ฟังพระธรรมได้ปลอบใจว่าที่ผมทุกข์ใจเรื่องหนี้เพราะเป็นตัวตนที่พยายามแสวงหาเงินมาเพื่อใช้หนี้ เป็นการติดข้องในสิ่งสมมติที่ไม่มีจริง ถ้าเป็นตัวตนพยายามหาเงินมาใช้หนี้ยิ่งเพิ่มความติดข้องในสิ่งที่ไม่มีจริง ยิ่งเป็นการเพิ่มตัวตนที่ติดข้องว่าสิ่งที่ไม่มีจริงนั้นเป็นของเรา ผมเลยสงสัยว่าการที่เราพยายามรักษาทรัพย์สินของเราไม่ให้ถูกยึดหรือถูกทำลายจะยิ่งเพิ่มความเป็นตัวตนยิ่งขึ้นแล้วเราจะเลี้ยงครอบครัวอย่างไรที่จะไม่ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีจริงเพราะต้องแสวงหาและรักษาสิ่งที่ไม่มีจริงอยู่ทุกวัน
อยากจะขอทางมูลนิธิช่วยตอบคำถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นครับ ขอบคุณสำหรับความเมตตาครับ
ขอนอบอน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-การดับกิเลส ดับเป็นขั้นๆ แม้แต่ความติดข้องยินดีพอใจในกาม ผู้ที่จะดับได้อย่างหมดสิ้น ต้องถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ดังนั้น สำหรับชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ตราบใดที่ปัญญาในระดับขั้นที่สามารถดับความติดข้องยินดีพอใจในกาม ยังไม่เกิดขึ้น ความติดข้องยินดีพอใจในกาม ก็ยังมี ติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ว่าโดยสภาพธรรม ก็คือ โลภะ นั่นเองที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สิ่งสำคัญคือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง นั้น เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่เรา
-ความเป็นตัวตน ก็มีเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน สะสมความไม่รู้มานานแสนนาน จึงยากที่จะพ้นไปได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็คือ ไม่มีความเข้าใจความจริง จนกว่าจะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเข้าใจได้ว่า มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเท่านั้น การอยากได้ทรัพย์ แสวงหาทรัพย์ การใช้หนี้สิน การรักษาทรัพย์ ตลอดจนถึงการทำกิจต่างๆ กล่าวได้ว่า ทุกขณะของชีวิต ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม ทั้งสิ้น ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และ เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน แต่ความเข้าใจยังไม่เพียงพอที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคล จึงต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว เป็นที่พึ่งต่อไป ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาครับ