ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นความเข้าใจผิด ของผู้ซึ่งไม่ทราบ ว่าพระอริยเจ้าทั้งหลาย รู้แจ้งอริยสัจจธรรม (ดับความเห็นผิด ในสภาพธรรมทั้งหลาย ว่า เป็นตัวตน) เพราะฉะนั้นพระอริยเจ้า ไม่มีตัวตน ที่ทำ กายคตาสติ
ถ้าบุคคลใด ยังมีความยึดถือ สภาพธรรมทั้งหลาย ว่า เป็นเรา เป็นตัวตนก็คิดว่า ท่านพระอานนท์ ก็คงจะมีความพากเพียร ด้วยความตั้งใจ ที่เป็นตัวตน ว่า "จะยังราตรีส่วนมาก ให้ล่วงไปด้วย กายคตาสติ" นี่คือ ความเห็น ของผู้ที่ยังมีตัวตน ที่คิดว่าท่านพระอานนท์ มีตัวตน ที่ตั้งใจทำอย่างนั้น แต่ สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว นั้นท่านรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น การที่ "สติ" ของพระอริยบุคคล จะเกิดขึ้น และน้อมไประลึกรู้ นามธรรม หรือ รูปธรรม ทางหนึ่งทางใดเพราะเหตุว่า มีปัจจัย ที่จะให้ "สติ" เกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม คือ นามธรรม หรือ รูปธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนั้น ตามปกติตามความเป็นจริง ตามที่ท่านได้สะสมมา
ไม่ว่า จิต ของท่านพระอานนท์ จะน้อมไปรู้ ลักษณะของนามธรรมใด หรือ รูปธรรมใดก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ทั้งสิ้นและ ท่านก็ทราบ ว่า ไม่ใช่ ตัวตน และการนอนพักผ่อน ก็เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อถึงกาล ที่ท่านจะพักผ่อน ท่านก็นอนพักผ่อน ด้วยสติซึ่งขณะนั้น ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ท่านก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมและ บรรลุความเป็นพระอรหันต์ ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิด คิดว่า ท่านพระอานนท์ ยังมีตัวตน ที่พากเพียร แล้วมีความท้อถอยเมื่อได้พากเพียรเป็นเวลานาน แล้วไม่บรรลุท่านจึงเลิกความพากเพียร แล้วก็นอนเสียไม่ใช่อย่างนั้น
การอบรม เจริญมรรคมีองค์ ๘ นี้ นะคะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็น พระอริยเจ้า คือเป็น ปุถุชนกับ พระอริยเจ้า ซึ่งเป็น เสกขบุคคลคือ ผู้ที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ย่อมต่างกัน สำหรับ ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ก็ยังมี ความยึดถือ ใน สภาพธรรม ว่า เป็น ตัวตน สัตว์ บุคคล อยู่ แม้ว่าบางครั้งที่ "สติ" เกิด แต่ ไม่ระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏขณะนั้น โดยทั่ว โดยละเอียดก็ย่อมมี การยึดถือ สติ ปัญญา สังขารขันธ์เช่น เวทนา ความรู้สึกต่างๆ หรือ สัญญา ความจำว่า เป็นเรา เป็นตัวตน
ท่านพระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอริยเจ้า เป็น เสกขบุคคลเจริญสติ ระลึกรู้ ลักษณะของ นามธรรม และ รูปธรรม ย่อมต่างกับการเจริญสติ ของผู้ที่ม่ใช่ พระอริยบุคคล. เพราะฉะนั้น ไม่ว่า "สติ" ของ ท่านพระอานท์จะน้อมไประลึกรู้ ลักษณะของนามธรรมใด หรือ รูปธรรมใด ท่านก็ไม่มี "ความเห็นผิด" ที่ยึดถือ สภาพของนามธรรมนั้นหรือ รูปธรรมนั้น ว่า เป็นตัวตน และเมื่อ "ปัญญา" ได้ประจักษ์ ความไม่เที่ยงความเกิดดับ ของ นามธรรม และ รูปธรรม สมบูรณ์ขึ้นท่านก็บรรลุคุณธรรม ถึงความเป็นพระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล และ พระอรหันต์ ตามลำดับ สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่ "พระอริยเจ้า" ก็อบรมเจริญสติปัฏฐาน เพื่อที่จะ "ดับความเห็นผิด" ในการยึดถือ นามธรรม และ รูปธรรม ว่า เป็นตัวตน
แนวทางเจริญวิปัสสนาครั้งที่ ๖๐๑ บรรยาย โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ถอดเทป โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ขออนุโมทนา
อย่าเข้าใจผิด คิดว่า ท่านพระอานนท์ ยังมีตัวตน ที่พากเพียร แล้วมีความท้อถอย เมื่อได้พากเพียรเป็นเวลานาน แล้วไม่บรรลุท่านจึงเลิกความพากเพียร แล้วก็นอนเสีย ไม่ใช่อย่างนั้น
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
ท่านพระอานนท์ บรรลุคุณธรรม ความเป็น สกาทาคามี อนาคามีบุคคล และพระอรหันต์ ในราตรีนั้น ตามลำดับหรือค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากความเห็นที่ 5
การบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ต้องเป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่แบบกบกระโดด คือต้องถึงความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ ท่านพระอานนท์ในคืนนั้นเมื่อท่านเป็นพระโสดาบันอยู่ เมื่อจะเป็นพระอรหันต์ การดับกิเลสและการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจึงเป็นไปตามลำดับคือ เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามีและท้ายสุดจึงความเป็นพระอรหันต์ในคืนนั้นเองครับ แต่จิตเกิดดับสลับกันเร็วมาก ความเป็นพระอรหันต์ของท่านจากพระโสดาบันจึงไม่นานทั้งราตรีครับแต่ชั่วเวลาไม่นานเลย
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ข้อความบางตอนจาก ...
ปฐมสังคายนา ๒
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ คิดว่า พรุ่งนี้ จะทำการสังคายนาพระธรรมวินัย แต่เรายังเป็นเสกขบุคคล การจะไปประชุมร่วมกับพระเถระ ผู้เป็นอเสกขะ เป็นสิ่งไม่ควรเลย จึงบังเกิดความอุสาหะ เจริญกายคตาสติ พากเพียรเป็นอันมากตลอดราตรีนั้น จงกรมอยู่ จนล่วงมัชฌิมฉิมยามแห่งราตรีท่านดำริว่า เราอาจจะทำความพากเพียรมากเกินไป จึงเข้าไปสู่วิหาร ด้วยประสงค์จะพักผ่อน
ขณะที่กำลังเอนกายลง ศรีษะยังไม่ทันถึงหมอน เท้าทั้งสองพ้นจากพื้น ในระหว่างนั้น จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย บรรลุอรหัตตผลพร้อมด้วยอภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ ในคืนก่อนวันประชุมสังคายนานั้นเอง ความเป็นพระอรหันต์ของท่านพระอานนท์เว้นจากอิริยาบถทั้ง ๔
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ