กาลครั้งหนึ่ง ที่ วิลล่า วิลล่า ลัคชัวร์รี่ รีสอร์ท พัทยา จ. ชลบุรี ระหว่างวันที่ 3-5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2558 ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ให้โอกาสแก่กลุ่ม "ปกติ" เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรม ณ สถานที่ที่มีบรรยากาศเงียบสงบ และผ่อนคลายมาก
ในช่วง 1-2 วันดังกล่าว DR.ณัฏฐพัฒน์ ธีรนันทวาณิช เจ้าของรีสอร์ตวิลล่า วิลล่าฯ ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ ให้เข้าร่วมการสนทนาธรรมและได้กราบปาวารณาท่านอาจารย์ เป็นมารดาทางธรรมอีกด้วย และได้ออกปากว่าเป็นบุญของชีวิตนี้ที่ได้เกิดมาและพบท่านอาจารย์
ช่วงการสนทนาคุณณัฏฐพัฒน์ มีความสงสัยและได้กราบขอคำอธิบายจากท่านอาจารย์ซึ่งท่านอาจารย์ก็มีเมตตาอธิบายจนทำให้เกิดความเข้าใจกระจ่างเพิ่มมากขึ้น
คุณณภัทร มีคำถามที่ได้กราบเรียนถาม ท่านอาจารย์ ซึ่งตรงใจกับสมาชิกหลายๆ ท่าน ซึ่งเป็นประโยชน์มหาศาล
ขอกล่าวถึงสถานที่สำหรับการสนทนาครั้งนี้ นับเป็นความกรุณาจากคุณณัฏฐพัฒน์ ท่านเจ้าของวิลล่าฯ ที่ให้จัดที่บ้านตัวอย่างสำหรับขายที่สวยงดงาม สุขสบายกว้างขวาง ท่านอาจารย์ได้เดินชมทั่วทุกมุมของบ้าน และยังได้ชมว่ามีการปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ร่มรื่น น่าชื่นชมมาก
เริ่มจากวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๕๘
🔹 พระธรรมไม่มีลังเล ถูกคือถูก ผิดคือผิด
🔹 อวิชชามีจริงแต่ไม่รู้ ก็ไม่รู้นั้นแหละอวิชชา
🔹 สิ่งที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดนั้นแหละเป็นสังขารธรรม ท่านจึงกล่าวว่านิพพานเป็นวิสังขารธรรม คือไม่เกิดอีกแล้ว
🔹 ที่แสวงหาเพราะว่าพอใจ หากไม่พอใจจะแสวงหาไหม?
🔹 รู้ไหมว่าโลภะมีมากเพียงใด แค่เอื้อมมือไปนี้ก็โลภะแล้ว แล้วคิดจะละโลภะได้ง่ายๆ หรือ?
🔹 ธรรมะเกิดแล้วดับแล้ว ที่ปรากฏอยู่คือธรรมะใหม่ที่เกิดสืบต่อเนื่องกันเรื่อยๆ มา เปรียบเสมือนเปลวไฟที่สว่างอยู่ต่อเนื่องไปขณะที่ยังมีเชื้อไฟ
🔹 ความไม่รู้ที่แสดงให้เห็นในชาตินี้ยังเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับที่สะสมมาหลายๆ ชาติ
🔹 เข้าใจถูกเมื่อไหร่ บูชาคุณพระพุทธองค์เมื่อนั้น
🔹 พึ่งพระรัตนตรัยเพื่ออะไรไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากเพื่อเข้าใจพระธรรม
🔹 พูดสิ่งที่ไม่เข้าใจ ย่อมทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว
🔹 พระวินัยก็คือพระธรรมสำหรับเพศสมณะซึ่งหากท่านประพฤติปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ย่อมปรากฏเสมือนดั่งพระอรหันต์ที่มีจริยวัตรที่งดงามหมดจรด
🔹 บารมีต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยให้ปัญญาเจริญขึ้น
🔹 ผู้ใดไม่รู้จักและเข้าใจพระธรรมพระศาสนาย่อมลบเลือนแล้วจากผู้นั้น
🔹 ผู้ที่เห็นผิด เท่ากับหันหลังให้พระสัจธรรม
🔹โลภะเปรียบเหมือนพงหนามรกชัฏหรือเหมือนหลุมกับดักมากมายที่รายล้อมอยู่ ไม่ควรประมาททุกย่างก้าว
🔹 กิเลสมีอยู่ทุกขณะ หากไม่เข้าใจขณะนี้ตามปกติแล้วจะไปรู้เมื่อไหร่?
🔹 มีครอบครัว มีลูก มีหน้าที่การงาน แล้วจะศึกษาธรรมะได้อย่างไร? การมีชีวิตอยู่อย่างคฤหัสถ์ก็เป็นปกติของธรรมะ ทำไมต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติให้รู้พระธรรม ฟังไป...ศึกษาไป..ย่อมเข้าใจยิ่งขึ้นมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรมะ.
🔹 สิ่งที่ปรากฏสืบต่ออยู่ทุกขณะ ขณะนี้นี่แหละ คือสังสารวัฏฏ์ที่เห็นว่าไม่ใช่เรา เห็นคุณของพระรัตนตรัยหรือยัง? ขั้นต้นของหนทางแห่งการละ คือ เข้าใจว่าไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเราเลย
🔹 เมื่อฟังพระธรรมยังไม่เข้าใจ ย่อมมุ่งไปประพฤติปฏิบัติอะไรต่างๆ ด้วยความเป็นตัวตน
🔹 ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นมีมาก่อนพระพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่เป็นไปด้วยความเป็นอนัตตา ดังนั้น ที่เรียงลำดับว่า ต้องรักษาศีลก่อน จึงมีสมาธิ แล้วมีปัญญา ไม่พ้นความเป็นเรา ย่อมไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์
🔹 ฟังพระธรรมให้รู้ความจริงว่าขณะนี้มีแต่ธรรมะ แม้เข้าใจแล้วก็เป็นธรรมะ
🔹 ศีลเป็นอะไร? ศีลเป็นเจตสิก
🔹 ปรมัตถธรรมหมายถึงสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้และเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไม่ได้เลย
🔹 ธรรมะทุกขณะเป็นทั้งปรมัตถธรรมและอภิธรรม
🔹 บางคนบอกว่าไม่เรียนพระอภิธรรม แต่เขาไม่รู้ว่าขณะนี้แหละมีอภิธรรมกำลังปรากฏ
🔹 กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยาคตาธัมมา ลึกซึ้งไหม? เดี๋ยวนี้หรือเปล่า?
🔹 ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดก็เพื่อให้รู้ว่าเรานั้นไม่มี
🔹 ทรงแสดง กุศลศีล อกุศลศีล อัพยาคตศีล ก็เพื่อให้รู้จักความเป็นไป ของจิตที่ปกติเป็นเช่นนั้นตามเหตุและปัจจัยไม่มีเรา ของเรา เช่นกัน
🔹 กรรมที่เราสะสมมามากมายเหลือเกิน แล้วจะกำหนดให้ผลของกรรมเกิดเมื่อนั้นเมื่อนี่ได้อย่างไร?
🔹 ในชีวิตนี้ผลของกรรมแรกสุดคือ "การเกิด"
🔹 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า "กรรม" ให้ผลได้ทุกอย่าง
🔹 จุติคือการเคลื่อนไป จุติจิตจึงทำกิจเคลื่อนไปจากภพนี้ เป็นกิจสุดท้ายในชาตินี้ หมดแล้วไม่มีจิตอื่นจะเกิดขึ้นในชาตินี้อีก
🔹 "ตรัสรู้" ไม่ใช่คิด ไม่ใช่ไตร่ตรอง แต่เป็นการประจักษ์แจ้งความจริง
🔹 พระธรรมเปรียบเสมือนหงายของที่คว่ำให้เห็นจิต เจตสิก รูป เปิดของที่ปิดความจริงแต่ละหนึ่ง เหมือนจุดประทีปให้คนที่มีตาดีพ้นจากความมืดของกิเลส
🔹 รู้มากเป็นเจ้าตำรา แต่ไม่เข้าใจความจริง จะมีประโยชน์อะไร?
🔹 ธรรมะไม่ใช่ชื่อเลย
🔹 ผู้ที่ไม่ได้สะสมมาย่อมไม่ละเอียดและไม่ตรง ทำให้ไม่เข้าใจแม้คำที่ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
🔹 แม้เรียนพระอภิธรรมมามาก แต่ยังมีความเป็นตัวตนเสมอๆ หมายความว่าอย่างไร?
🔹 เมื่อมีผู้อื่นเขาเห็นผิด แล้วจะเห็นผิดตามเขาไปด้วยหรือ?
🔹 เมื่อเข้าใจได้ว่าสังสารวัฏฏ์เนิ่นนานแค่ไหน ก็พิสูจน์ได้ว่าเรามีความไม่รู้มามากมายเพียงใด
🔹 ถ้าไม่ตรง ก็คงไม่มีวันนี้ ที่ได้ยินได้ฟังคำจริง
🔹 ฟังพระธรรมต้องเป็นไปตามลำดับ จะลึกซึ้งขึ้นในทันทีไม่ได้
🔹 หากนิพพานไม่มี พระพุทธองค์คงไม่ทรงแสดงให้ได้เข้าใจ
🔹 เมื่อจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้น ความไม่รู้ก็ทำให้เริ่มติดข้อง
🔹 เมื่อมีปัญญาเพียงพอจึงจะเห็นโทษของโลภะ
🔹 อยู่ดีๆ จะห้ามไม่ให้กิเลสเกิดได้หรือ? ที่สอนว่าไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น หากทำได้ คงทำกันไปหมดแล้ว และพระพุทธองค์คงไม่แสดงพระธรรมโดยละเอียดถึง ๔๕ พรรษา
🔹 ฟังพระธรรมแล้วเครียด เพราะอะไร? เพราะไม่เข้าใจ
🔹 เมื่อฟังธรรมแล้ว เบาสบาย เพราะความเข้าใจในความเป็นธรรมะ
🔹 เมื่อฟังพระสูตรต่างๆ แล้ว ไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ อย่าโทษการฟัง แต่โทษความไม่เข้าใจ
🔹 ที่ไปทำอะไรผิดปกตินั้น เมื่อเข้าใจถูกต้องแล้วย่อมเห็นตรงข้ามกับสิ่งที่ไปทำมาแล้วนั้น
🔹 หากศึกษาพระธรรมแล้วติดข้องถูกต้องไหม?
🔹 สิ่งใดที่ผิดปกติ แม้จะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เหลือเชื่อเพียงใดก็ตาม ก็ต่างมาจากความไม่รู้
🔹 ที่กล่าวว่าฟังพระธรรมแล้วถูกจริตนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเห็นผิดตามจริตก็มี ที่ถูกจริตเพราะชอบหรือไม่ชอบ แต่พระธรรมเป็นเรื่องของความจริง ผู้ฟังย่อมต้องเป็นผู้ตรงมีเหตุผลจึงสนใจฟังพระธรรม
🔹 ส่วนใหญ่ตัณหาจริตชอบฟังสิ่งที่ตนชอบซึ่งไม่ใช่ความจริง ส่วนทิฏฐิจริตมักมุ่งไปปฏิบัติ
🔹 ไม่รู้ว่าชาติไหนจะได้พบพระพุทธศาสนาอีก
🔹 ฟังพระธรรมแล้ว คิดว่าจะทำอย่างดีให้เกิดปัญญา นั้นเป็นตัวตนหรือเปล่า?
🔹 เมื่อมีทุกข์ สติเกิดยาก ทำอย่างไรดี อนัตตาหายไปไหน?
🔹 เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์. จะทำอะไร ก็ตาม สติย่อมเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมนั้นๆ ได้
🔹 มั่นคงหรือยังว่า สติเกิดขึ้นด้วยเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เรา
🔹 ไม่มีใครเลือกได้ว่าจะให้ปัญญาเกิดเมื่อนั้นเมื่อนี่
🔹 เมื่อไม่รู้ย่อมละอะไรไม่ได้เลย ความเข้าใจธรรมะที่สะสมมาเท่านั้นย่อมเริ่มละคลายกิเลสได้ตามลำดับ
🔹 ถ้าเข้าใจว่าธรรมะไม่ใช่เรา ก็จะเริ่มปกติ ทำธุรกิจ หน้าที่การงานตามปกติธรรมดา เพราะรู้ว่าเป็นธรรมะ
🔹 แม้โลภะจะมีอยู่มากแต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นธรรมะ
🔹 ความห่วงใยผูกพันย่อมมีอยู่ต่อคนที่เรารัก แต่ก็เข้าใจได้เช่นกันว่านั้นก็เป็นธรรมะ
🔹 ถ้าเมตตาจริงๆ ย่อมไม่มีเขามีเราแน่
🔹 เมื่อเราจากโลกนี้ไป. ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรารักที่สุดในชาตินี้คือะไร
🔹 ความหวังดีเกิดได้กับทุกคนเมื่อเข้าใจได้ถึงความเสมอกันของสภาพธรรม เห็นก็เป็นเห็น ได้ยินก็เป็นได้ยิน ไม่ใช่ของเราของเขาเลย
🔹 เมตตาย่อมดีกว่าความรัก แล้วจะเมตตาลูกหรือจะรักลูก
🔹 ปัญญาอย่างเดียวเข้าใจความจริงได้ทุกอย่าง
🔹 ที่เป็นศัตรูนั้น มิใช่เป็นกับผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วเป็นศัตรูกับตัวเองเท่านั้น
🔹 ไม่มีใครทำร้ายเราได้นอกจากกิเลสของเราเอง
🔹 จะไปนิพพานด้วยความอยาก เสียเวลาเปล่า
🔹 พระอรหันต์ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงต้องบวช แต่ที่ท่านบวชเพราะใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์ไม่ได้แล้ว
🔹 หากพระสงฆ์สาวกท่านไม่เมตตา ชนรุ่นหลังย่อมไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม
🔹 เราสามารถเกื้อกูลพระภิกษุที่ขาดการศึกษาเรื่องพระธรรมวินัยให้เข้าถูกต้องได้ ด้วยความหวังดี
🔹 การที่ได้มีโอกาสเข้าใจสิ่งที่เป็นความจริงที่สุด ถูกต้องที่สุด ไม่มีผิด จะดีไหม?
🔹 ย่อมเป็นการเคารพต่อพระพุทธองค์เป็นอย่างยิ่ง หากได้ประพฤติปฏิบัติถูกต้องตามพระวินัย
🔹 ช่วยอย่างอื่นย่อมไม่ดีกว่าช่วยให้ได้เข้าใจความจริงที่ถูกต้อง
🔹 ใครจะทำอะไรได้นั้น ย่อมต้องมาจากความอยากของเขาเอง
🔹 คฤหัสถ์สอนพระภิกษุไม่ได้ แต่กล่าวพระวินัยให้ฟังได้
🔹 หากเห็นประโยชน์ของกุศลจริง ย่อมเจริญกุศลได้โดยไม่เลือก
🔹คนที่นอนหลับแล้วฝัน หากไม่ตื่นขึ้น ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองฝัน คนไม่ได้ฟังพระธรรมก็เช่นกัน เมื่อยังไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่รู้ว่าหลับอยู่ด้วยความไม่รู้
เรียบเรียงโดย : จักรกฤษณ์ เจนเจษฎา
ภาพถ่ายโดย : ฟองจันทร์ วอลชและทัสนีย์ ภิรมย์แก้ว
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
น้อมกราบ และขออนุโมทนาในพระสัทธรรมอย่างสูงครับ
กราบอนุโมทนาครับ
น้อมกราบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น,กราบท่านอาจารย์สุจินต์ผู้เผยแพร่พระสัทธรรมและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ