อยากจะปฏิบัติให้ได้ แต่มันเป็นตัวเราเสียทุกที ทางตาก็เราเห็น ไม่ใช่สีเป็นรูป เห็นเป็นนาม นึกๆ ไปมันก็แพร่สะพัดไปหมดครับ ไม่กระจายหรือไม่เป็นเฉพาะประตู ไม่เข้านามรูปอย่างที่ว่านี้ ขอให้อธิบายอีกทีเถอะครับ
ขณะที่เห็นทางตา ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปรกติขณะนั้นได้ไหม ข้อสำคัญประการแรกก็คือจะต้องรู้ว่า การอบรมเจริญความรู้จนถึงความสมบูรณ์ของปัญญาที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณนั้น ต้องเริ่มจากสติระลึกศึกษาลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ทางหนึ่งทางใดตามปรกติ ไม่ใช่โดยขั้นการฟัง และไม่ใช่พอเห็นก็เริ่มกระวนกระวายกระสับกระส่ายนึกกระจัดกระจายว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นรูปและสภาพที่กำลังเห็นเป็นนาม ขณะนั้นไม่ใช่การระลึกศึกษาลักษณะที่เป็นนามธรรมและลักษณะที่เป็นรูปธรรม การที่สติปัฏฐานจะเกิดได้นั้น จะต้องเข้าใจลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมอย่างถูกต้องก่อนว่า นามธรรมที่กำลังเห็นนั้นเป็นสภาพรู้ ไม่มีรูปร่าง ตัวตน ไม่ต้องเอาแขน ขา มือ เท้า มาประกอบรวมกันเป็นท่าทางว่ายืนแล้วเห็น นั่งแล้วเห็น นอนแล้วเห็น สติปัฏฐานระลึกรู้เฉพาะอาการที่กำลังเห็นจริงๆ ว่า เป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น และขณะที่สติปัฏฐานเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏทางตานั้นก็พิจารณาศึกษาเข้าใจจนกว่าจะรู้ว่า เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งไม่ใช่ตัวตนสัตว์ บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น
.. จากหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป
ขออนุโมทนา
สาธุ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ
เมื่อยังไม่เกิด ก็ฟังและศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ พร้อมกับเจริญกุศลทุกประการไม่ควรหวัง เพราะหวังเมื่อไรตัวตนก็มาเมื่อนั้น สติไม่เกิดแน่นอน เวลาที่สติปัฏฐานเกิดทางจักขุปสาท ขณะนั้นแม้จะยังไม่ถึงขึ้น นามรูปปริทเฉทญาณ (แยกนามรูปได้) สิ่งที่ถูกเห็นหรือสภาพที่เห็น (ที่สติระลึก) จะเป็นเพียงแค่สีหลายๆ สี ทุกอย่างจะไม่ปรากฎเป็นรูปร่างสัณฐานที่ชัดเจน ผู้ที่สติปัฏฐานเกิดก็รู้ได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เป็นตัวตนที่อัตตสัญญาปิดบังไว้ จึงไม่ใช่การพยายามจะไปมองไม่ให้เห็นเป็นรูปร่าง สีสัน เป็นบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของ แต่ถ้าเห็นแล้วสติไม่เกิดระลึก เห็นก็ดับไป ก็เป็นตัวตนขณะหนึ่ง ไม่ควรกังวล เพราะจากนั้นก็จะต้องคิดต่อทางใจอีก โดยคิดว่าเป็นรูปหรือนาม ถ้าสติไม่เกิดระลึกถึงสภาพที่คิดเป็นคำๆ นั้นอีก ก็เป็นตัวตนอีกขณะหนึ่ง ไม่ใช่ขณะที่เห็น สติเป็นอนัตตา จะเกิดเมื่อสังขารธรรมได้ปรุงแต่งจนมีปัจจัยพร้อมเกิดสติก็เกิดได้ ซึ่งนานๆ ถึงจะเกิดที ขึ้นอยู่กับการสั่งสมปัญญาของแต่ละท่านจริงๆ ครับ
เราสะสมอวิชชามานานแสนนาน ปัญญาขั้นการฟังยังไม่สามารถละความเป็นตัวตนได้ แต่ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นได้ และเห็นประโยชน์ของการฟังธรรมที่จะทำให้เข้าใจในความเป็นอนัตตาได้ในวันหนึ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
มั่นคงในหนทาง (สติปัฏฐาน) นี้ว่า ... .
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา บังคับให้เกิดไม่ได้แล้วแต่เหตุพร้อมเมื่อไหร่จึงเกิด ขณะที่คิดนึก ขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธัมมะขณะที่ต้องการ ขณะนั้นก็เป็นตัวตนเพราะสติไม่ได้เกิดเพราะความต้องการขณะที่สติไม่เกิดก็เห็นเป็นคนเป็นสัตว์ตามปกติ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า สติไม่เกิด เมื่อรู้ว่าสติไม่เกิด ก็เป็นปัญญาขั้นหนึ่งแล้วต่างกับที่ไม่เคยศึกษาธรรมเลย และเมื่อรู้ว่าสติไม่เกิดก็ย่อมเป็นผู้ตรงตามความเป็นจริงและย่อมไม่หลงไปว่าสติ เกิดแล้ว ขณะที่สติเกิด ขณะนั้นรู้ลักษณะของสภาพธัมมะ ว่าเป็นธรรมขั้นแรกต้องรู้ความต่างว่าสติเกิดและหลงลืมสติต่างกันอย่างไร เมื่อสติไม่เกิดก็ไม่รู้เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ดังนั้นก็ไม่สามารถบังคับสติได้ จึงศึกษา ธรรมด้วยความเบา เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ไม่เกิดก็ไม่เกิด มีหน้าที่อบรมเหตุเท่านั้นคือค่อยๆ ฟังไป ให้เข้าใจ ธรรมทำหน้าที่เอง เมื่อรู้ดังนี้ก็ฟังต่อไปครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
การเจริญสติไม่ใช่การนึก แต่ขณะนึกสามารถรู้ได้ว่าเป็นลักษณะอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องนึก จึงเป็นปัญญาขั้นหนึ่ง และควรเจริญต่อไปในทุกทวาร เป็นความละเอียดที่ไม่ต้องอาศัยคำ
อยาก
นี่ไงคะคือเจ้าตัวปัญหาใหญ่
ปฏิบัติ นี่ก็เป็นอีกตัวปัญหาใหญ่
ตัวเรา
นี่ก็เป็นอีกตัวปัญหาใหญ่
ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจในเรื่องของพื้นฐานของการศึกษาธรรมก่อน ตั้งแต่ต้นว่า ธรรมคืออะไร? เราก็ไม่มีทางที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้จะกล่าวไปใยถึงเรื่องของประตู หรือนามรูป คะ?
ในสมมติฐานว่า คุณรู้ปริยัติในพระอภิธรรมดีแล้ว แล้วก็รู้วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาและรู้ในโพธิปักขยธรรม ๓๗ แล้ว ด้วยความไม่ประมาท ก็ลงมือปฎิบัติตั้งแต่ข้อแรกใน ๓๗ เป็นต้นไป แล้วก็สติปัฎฐาน ๔ อย่างมี อาตาปี สติมา สัมปชาโน โดยปฎิบัติ อย่างจริงจังในสำนักปฎิบัติที่มีอาจารย์ผู้มีความสามารถ เช่น อาจารย์สุจินต์ นี่แหละ แนะนำอยู่ คงจะรู้ว่าอะไรเป็นรูป อะไรคือนาม อะไรเป็นปรมัตถ อะไรเป็นสมมติบัญญัติจนได้ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ ผมเองก็กำลังพยายามอยู่ ขอฟังความเห็นจากท่านอื่น ด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ไม่มีตัวเราลงมือปฏิบัติ ต้องเริ่มก่อนว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ปัญญาเป็นธรรม สติเป็นธรรม สติและปัญญาเป็นธรรมจึงเป็นอนัตตา บังคับให้เกิดไม่ได้ ตามใจ หรือตระเตรียมว่าจะเริ่มปฏิบัติ ก็บังคับไม่ได้ ก่อนอื่น อะไรปฏิบัติ เราปฏิบัติ หรือธรรมทำหน้าที่ปฏิบัติ สติและปัญญาทำหน้าที่ปฏิบัติ ถ้าสติและปัญญาไม่เกิดจะเตรียมตัวปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติให้สติและปัญญาเกิดได้ไหม ถ้ายังไม่โกรธ จะบังคับตัวเองตระเตรียม ลงมือให้ความโกรธเกิดตามใจชอบได้ไหม ไม่ได้ครับ เพราะทุกอย่างเป็นธรรม บังคับไม่ได้ ดังนั้น การฟังเรื่อง ธรรม ว่าธรรมคืออะไร ธรรมอยู่ในขณะนี้บังคับได้ไหม จะเป็นปัจจัยเกื้อกูลให้สติและปัญญาเกิด (ปฏิบัติ) เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมโดยไม่มีการบังคับ เพราะบังคับให้สติและปัญญาเกิดไม่ได้ ถ้าบังคับได้ หรือเตรียมลงมือปฏิบัติได้ ก็คงบรรลุกันเร็วครับ
ขออนุโมทนา ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ศึกษาสิ่งที่กำลังปรากฎ เลือกอารมณ์ไม่ได้ แล้วแต่สติจะระลึกเป็นไปในขณะนั้น
ยินดีในกุศลจิตค่ะ