ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์สุจินต์ หรือคณาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ถ่ายทอดความรู้ธรรมะที่บ้าน ธัมมะ มีประสบการณ์สัมผัสจิตวิญญาณเทวดาหรือโอปปาติกะทั้งหลายในภพภูมิอื่นใน ชีวิตตนเองบ้างหรือไม่ครับ และหากมี ได้กระทำกิจกรรมหรือปฏิบัติต่อสิ่งนั้นมากน้อย อย่างไรมาบ้างครับ มีความรู้สึกว่าได้สื่อสารเข้าใจกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้นบ้างหรือไม่ สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นเป็นอย่างไร
กระผมเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่ง ของธรรมะที่ปฏิเสธว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ แม้กระทั่งพระพุทธองค์ก็ทรงเล่าถึงมากพอสมควร ถึงขั้นสอบถามธรรมะกันเลย การปฏิบัติธรรมของเราควรปฏิเสธการเข้ามาของสิ่งต่างๆ เหล่านี้หรือไม่ เช่นนั่งหรือนอนหลับอยู่ในที่สงัดเพียงลำพังที่วัดในป่า ในเขา ยามดึกสงัดเพียงคนเดียว เกิดเห็นสภาพเสียงหรือฝันมีสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้ามาหา การปฏิบัติธรรม ควรทำเพียงระลึกว่าเป็นเพียงนิมิต ปฏิเสธไปว่าไม่ใช่ความจริง เพราะไม่ได้พูดคุย สนทนาโต้ตอบกับเราในขณะที่เรามีสติ หรือยอมรับการมีอยู่ของสิ่งนั้นแล้วทำเพียงการ แผ่เมตตา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับเรื่องราวที่ท่านผู้ถามได้ยกมานั้น ทุกคน ก็ล้วนประสบพบเจอเหตุการณ์ เหล่านี้มาแล้วทุกคน ไม่มากก็น้อย ในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมานับชาติไม่ถ้วนครับ และสิ่งที่เจอ ไม่ว่าจะสมมติว่าเป็นคน เป็นผี เป็นสิ่งต่างๆ สิ่งที่เห็นกัน ก็ยังคงทำให้เรา ผู้ที่ เป็นปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลสและความไม่รู้ ก็ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งนั้น สัจจะความจริงแล้ว เป็นอะไร ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นในโลก ได้แสดงพระธรรมตามความเป็นจริง และแสดงหนทางข้อปฏิบัติที่ทำให้รู้ความจริง ซึ่งก็ทำให้เข้าใจโลกตามความเป็นจริง ว่าคืออะไรกันแน่ครับ
ดังนั้น ไม่ได้สำคัญอยู่ที่สิ่งที่เห็นจะเป็นอะไร หรือ สิ่งที่ได้ยินจะเป็นอะไร เพราะหากไม่มีปัญญาแล้ว แม้จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง เพราะเห็นด้วยความไม่รู้ ได้ยินด้วยความไม่รู้ ไม่ได้เห็นด้วยปัญญา ไม่ได้ยินแล้วรู้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาครับ
ซึ่งการปฏิบัติธรรม ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน หรือ การเจริญวิปัสสนาที่ถูกต้อง คือ การรู้ความจริงในสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ หรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะในความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีแต่เพียง จิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่พ้นจากการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ไม่มีเราที่เห็น แต่เป็นจิตเห็น เกิดขึ้น ไม่มีสัตว์ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กำลังเห็น แต่เป็นเพียงสีเท่านั้น แต่เพราะมีจิตที่คิด นึก คิดเป็นรูปร่างสัณฐานในสีที่ปรากฏ จึงคิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นผี เป็นต้น แต่แท้ที่จริงก็เป็นเพียงจิตที่คิดนึก และ สีที่ปรากฏทางตาเท่านั้น จะเห็นนะครับว่า แค่นี้ก็แย้ง กับความรู้สึกเราแล้ว ที่คิดว่า ผีมีจริง สัตว์ บุคคลมีจริง ตัวเรามีจริง แท้ที่จริงมีแต่ธรรม ไม่ใช่เรา นี่คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และขัดแย้งกับความคิดของชาวโลก เพราะ สัตว์โลก คิดด้วยกิเลสที่สะสมความเห็นผิดมา สะสมมาว่ามีสัตว์ บุคคล มีสิ่งต่างๆ จริงๆ เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่ง หนทางการจะรู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา คือ การเจริญวิปัสสนา หรือ สติปัฏฐาน ที่เรามักใช้คำว่า ปฏิบัติธรรม
ดังนั้น การปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนาที่ถูกต้อง คือ ไม่ใช่การไปนั่งทำสมาธิ หรือ ต้องไปอยู่ในที่สงบ เงียบสงัด ตามป่าเขา เพื่อหาธรรม เพราะความจริง ธรรมมีอยู่แล้วในขณะนี้ ขณะนี้มีธรรม แต่ ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เห็นมีจริงในขณะนี้ เป็นธรรม แต่สำคัญว่า เราเห็น สิ่งที่เห็น มีจริง เป็นธรรม เป็นแต่เพียงสี แต่สำคัญผิดว่า เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสัตว์ บุคคล เป็นผี เป็นสิ่งต่างๆ มีได้ยิน ได้กลิ่น มีคิดนึก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ได้รู้เลยว่าเป็นธรรม
ดังนั้น จึงไม่ต้องไปหาธรรมในที่สงบเงียบห่างไกล แต่ขณะนี้มีธรรมแล้ว ขาดแต่เพียงปัญญาที่จะรู้ความจริงในขณะนี้เท่านั้น การเจริญวิปัสสนา ปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน ไม่ได้แยกออกไปจากชีวิตที่เคยเป็นอยู่ให้ผิดปกติ ครับ
ซึ่งหนทางที่ถูกต้อง คือ ฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรม ว่า ธรรมคืออะไร และก็ค่อยๆ ฟังต่อไปเรื่อยๆ ในส่วนต่างๆ ปัญญาที่เจริญขึ้น ก็จะค่อยๆ เห็นถูก และ ละหนทางผิด เดินสู่หนทางถูกและก็จะเข้าใจความจริงของชีวิต ว่ามีแต่เพียงธรรม ครับ
ทุกคนเห็นมาทุกสิ่งแล้วครับ ไม่ว่าจะแปลก น่ากลัวสักปานใด แต่สิ่งที่เห็นนั้น หากไม่ทำให้เกิดปัญญา ก็ไม่ใช่ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม แต่การเห็นใด การได้ยินใด ที่ทำให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา และ สามารถถึงการบรรลุธรรมได้ การเห็นนั้น เป็นการเห็นอันยอดเยี่ยม การได้ยินนั้น เป็นการได้ยินอันยอดเยี่ยม ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ และหนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ก็ไม่ใช่การไปนั่งหลับตา หรือกระทำอะไรที่ผิดปกติ แต่ต้องเป็นการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ด้วยความตั้งใจจริงๆ มีความเพียร มีความอดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไป เพราะพระธรรมเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา เมื่อตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา ความรู้ความเข้าใจ ย่อมเจริญขึ้นไปตามลำดับอย่างแน่นอน
สัตว์โลก ไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานเท่านั้น ยังมีเทวดา พรหม สัตว์นรก เปรตอสุรกาย ด้วย ในภพภูมิที่แตกต่างกัน ทั้งนี้แสดงถึงความหลากหลายของจิตที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดในภพภูมิที่แตกต่างกัน อย่างเช่น เกิดเป็นมนุษย์ ต้องเกิดด้วยผลของกุศลธรรมเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ก็เป็นผลของอกุศลกรรมเท่านั้น ไม่ใช่กุศลธรรม การเกิดในภพภูมิต่างๆ อยู่ร่ำไป แสดงให้เห็นถึงการเวียนว่ายตายเกิด อันเนื่องมาจากยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย
กิเลสทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหาและอวิชชา เป็นสภาพธรรมที่ยังหมู่สัตว์ให้เวียนเกิดเวียนตายอย่างไม่มีวันจบสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมตามความเป็นจริง แม้เรื่องของภพภูมิต่างๆ พระองค์ก็ทรงแสดงไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสำหรับผู้ที่มีปัญญาจะได้เห็นโทษภัยของการเกิด ว่า เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่น่าเพลิดเพลินยินดี จะได้อบรมเจริญปัญญาเพื่อพ้นจากการเกิดในภพภูมิต่างๆ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป, บุคคลผู้ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบเท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ปัญญายังน้อยค่ะ แต่ยังไม่หมดความพยายาม อยากทราบว่าทำอย่างไรจะละความเห็นว่า
เป็น "เรา" "มีเรา"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
จะละ ความเป็นเรา ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา แต่เป็นหน้าที่ของธรรม คือ ปัญญาที่เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่รู้ตามความเป็นจริง จึงละความยึดถือว่าเป็นเรา ที่เป็นความเห็นผิดได้ครับ ซึ่งหนทางในการละความเห็นผิดว่า เป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล คือ จะต้องเริ่มจาก การฟังให้เข้าใจว่า ธรรม คือ อะไร ในขั้นการฟังให้เข้าใจก่อนครับ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น จากการฟังบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาขั้นการฟัง ยังทำอะไรกิเลสไม่ได้ และยังไม่ไ่ด้ละความยึดถือว่าเป็นเรา แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนมีความเข้าใจที่มั่นคง ปัญญาคมกล้า ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลายาวนานมาก จนทำให้สติและปัญญาเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เช่น ระลึกรู้ลักษณะที่เห็น ที่กำลังปรากฏว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เราที่เห็น ซึ่ง ละความเป็นเราเพียงชั่วขณะ แต่ยังไม่ได้ละความยึดถือว่า เป็นเราจริงๆ ก็ต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนานอีกเช่นกัน โดยที่สติปัฏฐาน ระลึก ลักษณะของสภาพธรรมบ่อยๆ เนืองๆ นับชาติไม่ถ้วน จนเป็นปัจจัยให้ปัญญาแก่กล้า อีกระดับหนึ่ง เกิดปัญญาแทงตลอดสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เป็น วิปัสสนาญาณ แต่ก็ยังละความเป็นเราไม่ได้เด็ดขาด เพียงชั่วขณะที่ปัญาเกิดเท่านั้น ต้องผ่านวิปัสสนาแต่ละขั้น จนในที่สุด ถึงปัญญา ที่เป็นมรรคจิต ดับกิเลส ละความเห็นผิดได้ครับ
จะเห็นนะครับว่า เป็นเรื่องยาก และยาวนาน กว่าจะอบรมปัญญาและละกิเลสได้จริงๆ เพราะสะสมความเห็นผิดและความไม่รู้มามากนั่นเองครับ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากเราเริ่มที่เหตุถูก คือ เริ่มจากการฟังให้เข้าใจ แม้แต่คำว่า ธรรม คือ อะไร เมื่อเข้าใจเบื้องต้น ก้าวไปในทางที่ถูก ย่อมถึงจุดหมายได้ แม้จะไกล ซึ่งก็มีผู้ที่ถึงจุดหมายมาแล้วในอดีตมากมาย เพียงแต่ต้องอดทน ไม่หลงทางไปตามความอยาก ถูกโลภะ หลอกไปในหนทางอื่นครับ ฟังพระธรรมต่อไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น นี่คือ หนทางการละความเป็นเราครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
อาจารย์กล่าวได้ถูกต้องเห็นชอบแล้ว สาธุครับๆ ๆ ธรรมทำหน้าที่ละ ของแต่ละธรรม
ปัญญาทำหน้าที่รู้จริง แต่ละธรรม สติเป็นที่ส่องใจ เห็นใจ สัมปชัญญะโดยแท้
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ