[เล่มที่ 71] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 6
เถราปทาน
สีหาสนิยวรรคที่ ๒
เอกถัมภิกเถราปทานที่ ๒ (๑๒)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเสาต้นเดียว
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 71]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 6
เอกถัมภิกเถราปทานที่ ๒ (๑๒)
ว่าด้วยผลแห่งการถวายเสาต้นเดียว
[๑๔] ได้มีการประชุมมหาอุบาสกของพระผู้พระภาคเจ้า พระพระนามว่าสิทธัตถะ และอุบาสกเหล่านั้นถึงพระพุทธเจ้าเป็น สรณะ เชื่อพระตถาคต. อุบาสกทั้งหมดมาประชุมปรึกษากัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 7
จะสร้างศาลาถวายแด่พระศาสดา ยังไม่ได้เสาอีกต้นหนึ่ง จึงพากันเที่ยวหาอยู่ในป่าใหญ่.
เราพบอุบาสกเหล่านั้นในป่าแล้ว จึงเข้าไปหาคณะ อุบาสก ในเวลานั้น เราประนมอัญชลีสอบถามคณะอุบาสก.
อุบาสกผู้มีศีลเหล่านั้นอันเราถามแล้ว ตอบให้ทราบว่า เราต้องการจะสร้างศาลา ยังหาเสาไม่ได้อีกต้นหนึ่ง.
ขอท่านจงให้เสากะเราต้นหนึ่งเถิด. ฉันจักถวายแด่พระศาสดา. ฉันจักนำเสามาให้ ท่านทั้งหลายไม่ต้องขวนขวายหา.
อุบาสกเหล่านั้นเลื่อมใสมีใจยินดีให้เสาแก่เรา แล้วกลับ จากป่านั้นมาสู่เรือนของตนๆ.
เมื่อคณะอุบาสกไปแล้วไม่นาน เราได้ถวายเสาในกาลนั้น เรายินดี มีจิตร่าเริง ยกเสาขึ้นก่อนเขา.
ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้นเราได้เกิดในวิมาน ภพของเราตั้ง อยู่โดดเดี่ยว ๗ ชั้น สูงตระหง่าน.
เมื่อกลองดังกระหึ่มอยู่ เราบำเรออยู่ทุกเมื่อ ใน ๕๕ กัป เราได้เป็นพระราชาพระนามว่ายโสธร.
แม้ในกาลนั้น ภพของเราก็สูงสุด ๗ ชั้น ประกอบด้วย เรือนยอดอันประเสริฐ มีเสาต้นหนึ่งเป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ.
ใน ๒๑ กัป เราเป็นกษัตริย์พระนามว่าอุเทน แม้ในกาล นั้น ภพของเราก็มี ๗ ชั้น ประดับอย่างสวยงาม.
เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือควานเป็นเทวดาหรือความเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 8
มนุษย์ เราย่อมเสวยผลนั้นๆ ทั้งหมด นี้เป็นผลแห่ง (การถวาย) เสาต้นเดียว.
ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ ในกาลนั้นเราได้ให้เสาใด ด้วยบุญ กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง (การถวาย) เสา ต้นเดียว.
คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้วฉะนี้แล.
ทราบว่า ท่านพระเอกถัมภิกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการ ฉะนี้แล. จบเอกถัมภิกเถราปทาน
๑๒. อรรถกถสเอกถัมเถราปทาน
อปทานแห่ง ท่านพระเอกถัมภิกทายกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สิทฺธตฺถสฺส ภควโต ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ทุกๆ พระองค์ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิทธัตถะ บังเกิดเป็นคนดูแลป่าไม้ ในตระกูลแห่งหนึ่ง ที่เพียบพร้อม ด้วยทรัพย์สมบัติ. ในสมัยนั้นอุบาสกและอุบาสิกาล้วนมีศรัทธา มีความ เลื่อมใส มีความพร้อมเพรียงกัน ตั้งใจว่า พวกเราจะสร้างศาลาสำหรับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 9
บำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเข้าไปสู่ป่าเพื่อต้องการทัพพสัมภาระ ได้ พบเห็นอุบาสกนั้นเข้า จึงอ้อนวอนว่า ท่านจงให้การงานสักอย่างหนึ่ง แก่พวกเราเถิด. อุบาสกคนนั้น พอทราบความเป็นไปนั้นแล้ว จึงพูดว่า พวกท่านอยู่คิดไปเลยดังนี้ แล้วได้ส่งเขาเหล่านั้นไป ได้ให้พวกเขา เหล่านั้นหามเสาไม้แก่นต้นหนึ่งไปแสดงแด่พระศาสดา. ด้วยการให้เสา ไม้แก่นนั้นนั่นแล เขาเกิดโสมนัสในใจ ทำบุญคือการให้ไม้แก่นนั้นเป็น ครั้งแรกแล้ว ก็ทำบุญมีการให้ทานเป็นต้นอย่างอื่นอีกเป็นอันมาก จุติ จากอัตภาพนั้น ไปบังเกิดบนเทวโลก ได้เสวยทิพยสมบัติในกามาวจร สวรรค์ ๖ ชั้นกลับไปกลับมา ได้เสวยจักรพรรดิสมบัติในมนุษย์โลกอีก หลายครั้ง และได้เสวยสมบัติคือเป็นพระราชาปกครองประเทศนับไม่ถ้วน ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่งที่สมบูรณ์ด้วยศรัทธา พร้อมกับมารดาบิดาได้ฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้มี ศรัทธาบรรพชาอุปสมบท เล่าเรียนกัมมัฏฐานอย่างตั้งใจ มิช้ามินาน ก็ได้เป็นพระอรหันต์.
ท่านพอได้บรรลุพระอรหัตแล้วอย่างนั้น จึงได้ระลึกถึงบุพกรรม ของตน เกิดโสมนัส เมื่อจะประกาศอ้างถึงความประพฤติที่มีมาในกาล ก่อน จงกล่าวคำเริ่มค้นว่า สิทฺธตฺถกสฺสส ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าสิทธัตถะในคาถานั้น คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สมบูรณ์ ด้วยภคธรรม. บทว่า มหาปูคคโณ ความว่า ได้มีหมู่แห่งอุบาสกเป็น จำนวนมาก. บทว่า สรณํ คตา จ เต พุทฺธํ ความว่า อุบาสก เหล่านั้นเข้าถึง คบ หรือทราบว่า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ดังนี้. บทว่า ตถคตํ สทฺธหํ ความว่า ตั้งพระพุทธคุณไว้ในจิตสันดานของตน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 10
บทว่า สพฺเพ สงฺคมฺม มนฺเตตฺวา ความว่า ทั้งหมดพบประชุม ปรึกษากัน ให้สัญญากันและกัน มีฉันทะเป็นอันเดียวกัน สร้างโรง คือศาลาสำหรับบำรุง เพื่อประโยชน์แก่พระศาสดา. เชื่อมความว่า เมื่อยัง ไม่ได้เสาสักต้นหนึ่ง ในบรรดาทัพพสัมภาระทั้งหลาย จึงพากันเที่ยว ค้นหาในป่าใหญ่.
บทว่า เตหํ อรญฺเ ทิสฺวาน เชื่อมความว่า เราได้เห็นพวก อุบาสกเหล่านั้นในป่า เข้าไปเป็นหมู่ ประคองอัญชลี กระทำอัญชลี ประชุมนิ้วทั้ง ๑๐ ไว้เหนือเศียร ในกาลนั้นเราจึงถามหมู่อุบาสกว่า พวก ท่านมายังป่านี้เพื่อต้องการอะไร.
เชื่อมความว่า อุบาสกเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล ถูกเราถามแล้ว จึงบอก เป็นพิเศษว่า เราเป็นผู้มีความประสงค์จะสร้างโรงบำรุง แต่พวกเรายัง ไม่ได้เสาอีกต้นหนึ่ง.
เชื่อมความว่า พวกท่านจงให้เสาต้นหนึ่งแก่เราเถิด เราเองจักนำ เสาต้นนั้นไปถวายยังสำนักพระศาสดา, ขอท่านผู้เจริญ อย่าได้พยายาม ในการนำเอาเสาไปเลย.
บทว่า ยํ ยํ โยนุปปชฺชามิ ความว่า เราจะเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม. อีกอย่างหนึ่ง คำนั้นเป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ, อธิบายว่า ในโลกใด คือจะเป็น เทวโลก หรือมนุษยโลกก็ตาม. คำที่เหลือง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาเอกถัมภิกเถราปทาน