[เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 256
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ปารายนวรรค
กัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐
ว่าด้วยปัญหาของท่านกัปปะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 67]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 256
กัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐
ว่าด้วยปัญหาของท่านกัปปะ
[๓๖๖] (ท่านกัปปะทูลถามว่า)
ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมอันเป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ผู้อันชราและมัจจุราชถึงรอบแล้ว อนึ่ง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกอย่างไร.
[๓๖๗] สงสาร คือ การมา การไป ทั้งการมาและการไป กาลมรณะ คติ ภพแต่ภพ จุติ อุปบัติ ความบังเกิด ความแตก ชาติ ชราและมรณะ ท่านกล่าวว่า สระ ในอุเทศว่า มชฺเฌ สรสฺมิํ ติฏฺตํ ดังนี้.
แม้ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ แม้ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารก็ไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน เข้าถึง ติดอยู่ น้อมใจ ไปแล้ว ในท่ามกลางสงสาร.
ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏอย่างไร วัฏฏะเป็นไปแล้วสิ้นชาติเท่านี้ พ้นจากนั้นย่อมไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนั้น ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้ วัฏฏะเป็นไปแล้วสิ้นร้อยชาติเท่านี้ พ้นจากนั้นย่อมไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนั้น ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้ วัฏฏะเป็นไปแล้วสิ้นพันชาติเท่านี้... สิ้นแสนชาติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 257
เท่านี้... สิ้นโกฏิชาติเท่านี้... สิ้นร้อยโกฏิชาติเท่านี้... สิ้นพันโกฏิชาติเท่านี้... สิ้นแสนโกฏิชาติเท่านี้... สิ้นปีเท่านี้... สิ้นร้อยปีเท่านี้... สิ้นพันปีเท่านี้... สิ้นแสนปีเท่านี้... สิ้นโกฏิปีเท่านี้... สิ้นร้อยโกฏิปีเท่านี้... สิ้นพันโกฏิปีเท่านี้... สิ้นแสนโกฏิปีเท่านี้... สิ้นกัปเท่านี้... สิ้นร้อยกัปเท่านี้... สิ้นพันกัปเท่านี้... สิ้นแสนกัปเท่านี้... สิ้นโกฏิกัปเท่านี้... สิ้นร้อยโกฏิกัปเท่านี้... สิ้นพันโกฏิกัปเท่านี้... สิ้นแสนโกฏิกัปเท่านี้ พ้นจากนั้นย่อมไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนี้ ที่สุดข้างต้นแห่งสงสาร ย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้.
สมจริงดังพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้มีที่สุดอันรู้ไม่ได้ ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นไว้ มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป เสวยความทุกข์ความพินาศเป็นอันมากตลอดกาลนาน มากไปด้วยป่าช้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนี้แหละ จึงสมควรจะเบื่อหน่าย ควรจะคลายกำหนัด ควรจะหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ดังนี้. ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้.
ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏอย่างไร วัฏฏะจักเป็นไป สิ้นชาติเท่านี้ พ้นจากนั้นจักไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนั้น ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้ วัฏฏะจักเป็นไปสิ้นร้อยชาติเท่านี้... สิ้นพันชาติเท่านี้... สิ้นแสนชาติเท่านี้... สิ้นโกฏิชาติเท่านี้... สิ้นร้อยโกฏิชาติเท่านี้... สิ้นพันโกฏิชาติเท่านี้... สินแสนโกฏิชาติเท่านี้... สิ้นปีเท่านี้... สิ้นร้อยปีเท่านี้... สิ้นพันปีเท่านี้... สิ้นแสนปีเท่านี้... สิ้นโกฏิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 258
ปีเท่านี้... สิ้นร้อยโกฏิปีเท่านี้... สิ้นพันโกฏิปีเท่านี้... สิ้นแสนโกฏิปีเท่านี้... สิ้นกัปเท่านี้... สิ้นร้อยกัปเท่านี้... สิ้นพันกัปเท่านี้... สิ้นแสนกัปเท่านี้... สิ้นโกฏิกัปเท่านี้... สิ้นร้อยโกฏิกัปเท่านี้... สิ้นพันโกฏิกัปเท่านี้... วัฏฏะจักเป็นไปสิ้นแสนโกฏิกัปเท่านี้ พ้นจากนั้นจักไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนี้ ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้ แม้ที่สุดข้างต้น แม้ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏอย่างนี้.
สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน ติดอยู่ น้อมใจไปแล้วในท่ามกลางสงสาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา กปฺโป ดังนี้ เป็นบทสนธิ ฯลฯ คำว่า อิติ นี้ เป็นไปตามลำดับบท.
คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ.
คำว่า อายสฺมา นี้ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพและความยำเกรง.
คำว่า กปฺโป เป็นชื่อ ฯลฯ เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านกัปปะทูลถามว่า.
[๓๖๘] คำว่า เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ความว่า เมื่อกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ เกิดแล้ว คือ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏแล้ว.
คำว่า เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ความว่า เมื่อชาติภัย ชราภัย พยาธิภัย มรณภัย มีแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว.
[๓๖๙] คำว่า ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว ความว่า ผู้อันชราถูกต้อง ถึงรอบ ตั้งลง ประกอบแล้ว อันมัจจุราชถูกต้อง ถึงรอบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 259
ตั้งลง ประกอบแล้ว อันชาติไปตาม ชราก็แล่นตาม พยาธิก็ครอบงำ มรณะก็ห้ำหั่น ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่ซ่อนเร้น ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้อันชราและมัจจุราชถึงรอบแล้ว.
[๓๗๐] คำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่ง ความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอก... ขอจงทรงประกาศซึ่งธรรมเป็นที่พึ่ง คือ ธรรมเป็นที่ต้านทาน ธรรมเป็นที่ซ่อนเร้น ธรรมเป็นสรณะ ธรรมเป็นคติที่ไป.
คำว่า มาริส เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ.
คำว่า มาริส นี้ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพและความยำเกรง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่ง.
[๓๗๑] พราหมณ์นั้นกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์ ในอุเทศว่า ตฺวญฺจ เม ทีปมกฺขาหิ ดังนี้.
คำว่า ขอจงตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่ง ความว่า ขอจงตรัสบอก... ขอจงประกาศซึ่งธรรมเป็นที่พึ่ง คือ ธรรมเป็นที่ต้านทาน ธรรมเป็นที่ซ่อนเร้น ธรรมเป็นสรณะ ธรรมเป็นคติที่ไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อนึ่ง ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์.
[๓๗๒] คำว่า ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกอย่างไร ความว่า ทุกข์นี้พึงดับ คือ พึงสงบ พึงถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ พึงระงับไปในภพนี้นี่แหละ คือ ทุกข์อันมีในปฏิสนธิไม่พึงบังเกิดอีก คือ ไม่พึงเกิด ไม่พึงเกิดพร้อม ไม่พึงบังเกิด ในกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 260
สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ ในคติใหม่ อุปบัติใหม่ ปฏิสนธิใหม่ ภพสงสารหรือในวัฏฏะ พึงดับ สงบ ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ระงับไปในภพนี้นี่แหละ อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกอย่างไร. เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่ง แก่สัตว์ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว อนึ่ง ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกอย่างไร.
[๓๗๓] (พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนกัปปะ)
เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่ง แก่สัตว์ทั้งหลายผู้ที่ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว ดูก่อนกัปปะ เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ท่าน.
[๓๗๔] สงสาร คือ การมา การไป ทั้งการไปและการมา กาลมรณะ คติ ภพแต่ภพ จุติ อุปบัติ ความบังเกิด ความแตก ชาติ ชราและมรณะ ท่านกล่าวว่า สระ ในอุเทศว่า มชฺเฌ สรสฺมิํ ติฏฺตํ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 261
แม้ที่สุดข้างต้น แม้ที่สุดข้างปลายแห่งสงสาร ย่อมไม่ปรากฏ ฯลฯ ก็สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน เข้าถึง ติดอยู่ น้อมใจไปแล้วในท่ามกลางสงสาร ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏอย่างไร ฯลฯ ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้ ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏอย่างไร ฯลฯ ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้ แม้ที่สุดข้างต้น แม้ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน เข้าถึง ติดอยู่ น้อมใจไปแล้วในท่ามกลางสงสาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า กัปปะ ในอุเทศว่า กปฺปาติ ภควา ดังนี้.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯลฯ.
คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนกัปปะ.
[๓๗๕] ข้อว่า เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ความว่า เมื่อกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ เกิดแล้ว คือ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏแล้ว.
คำว่า เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ความว่า เมื่อชาติภัย ชราภัย พยาธิภัย มรณภัย มีแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว.
[๓๗๖] ข้อว่า ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว ความว่า ผู้อันชราถูกต้อง ถึงรอบ ตั้งลง ประกอบแล้ว อันมัจจุถูกต้อง ถึงรอบ ตั้งลง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 262
ประกอบแล้ว อันชาติไปตาม ชราก็แล่นตาม พยาธิก็ครอบงำ มรณะก็ห้ำหั่น ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่ซ่อนเร้น ไม่มีอะไรเป็นสรณะ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว.
[๓๗๗] ข้อว่า ดูก่อนกัปปะ เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ท่าน ความว่า เราจะบอก... จะประกาศ ซึ่งธรรมเป็นที่พึ่ง คือ ธรรมเป็นที่ต้านทาน ธรรมเป็นที่ซ่อนเร้น ธรรมเป็นสรณะ ธรรมเป็นคติที่ไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า กัปปะ ในอุเทศว่า กปฺป เต ดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดูก่อนกัปปะ เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ท่าน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว ดูก่อนกัปปะ เราจะบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ท่าน.
[๓๗๘] เราขอบอกนิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น เป็นที่สิ้นไปแห่งชราและมัจจุนี้นั้นว่า ธรรมเป็นที่พึ่ง.
[๓๗๙] คำว่า ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ในอุเทศว่า อกิญฺจนํ อนาทานํ ดังนี้ ความว่า ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลสทุจริต เป็นเครื่องกังวล อมตนิพพานะเป็นที่ละ เป็นที่สงบ เป็นที่สละคืน เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 263
ที่ระงับแห่งกิเลสเครื่องกังวล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล.
คำว่า ไม่มีตัณหาเครี่องถือมั่น ความว่า ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ตรัสว่า เครื่องถือมั่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น.
[๓๘๐] คำว่า เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น ความว่า เป็นที่พึ่ง คือ เป็นที่ต้านทาน เป็นที่ซ่อนเร้น เป็นสรณะ เป็นคติที่ไป.
คำว่า ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น คือ ที่พึ่งอื่น คือ อย่างอื่นจากนิพพานนั้นมิได้มี โดยที่แท้ที่พึ่งนั้นนั่นแหละเป็นที่พึ่งอันเลิศ ประเสริฐ วิเศษ เป็นประธานสูงสุด และอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่พึ่งนี้ไม่ใช่อย่างอื่น.
[๓๘๑] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ตรัสว่า วานะ ในอุเทศว่า นิพฺพานํ อิติ นํ พฺรูมิ ดังนี้.
อมตนิพพานเป็นที่ละ เป็นที่สงบ เป็นที่สละคืน เป็นที่ระงับแห่งตัณหาเครื่องร้อยรัด.
คำว่า อิติ เป็นบทสนธิ ฯลฯ บทว่า อิติ นี้ เป็นไปตามลำดับ.
คำว่า เราขอบอก คือ เราขอบอก... ขอประกาศ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราขอบอกนิพพานนั้น.
[๓๘๒] คำว่า เป็นที่สิ้นชราและมัจจุ ความว่า อมตนิพพาน เป็นที่ละ เป็นที่สงบ เป็นที่สละคืน เป็นที่ระงับแห่งชราและมรณะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นที่สิ้นชราและมัจจุ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 264
เราขอบอกนิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น เป็นที่สิ้นไปแห่งชราและมัจจุนี้นั้นว่า ธรรมเป็นที่พึ่ง.
[๓๘๓] พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด รู้ทั่วถึงนิพพานนั้นแล้ว เป็นผู้มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ไปตามอำนาจแห่งมาร ไม่ไปบำรุงมาร.
[๓๘๔] คำว่า เอตํ ในอุเทศว่า เอตทญฺาย เย สตา ดังนี้ คือ อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ ความออกจากตัณหาเครื่องร้อยรัด.
คำว่า อญฺาย คือ รู้ทั่วถึง ทราบ เทียบเคียง พิจารณา เจริญ ทำให้แจ่มแจ้ง คือ รู้ทั่วถึง... ทำให้แจ่มแจ้งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
คำว่า เหล่าใด คือ พระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย.
คำว่า เป็นผู้มีสติ ความว่า มีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ มีสติเจริญสติปัฏฐาน เครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯลฯ เพราะเหตุนั้น พระอรหันตขีณาสพทั้งหลายจึงตรัสว่า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด รู้ทั่วถึงนิพพานนั้นแล้วเป็นผู้มีสติ.
[๓๘๕] คำว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว ความว่า มีธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 265
อันเห็นแล้ว คือ มีธรรมอันรู้แล้ว มีธรรมอันเทียบเคียงแล้ว มีธรรมอันพิจารณา มีธรรมอันเจริญแล้ว มีธรรมอันแจ่มแจ้งแล้ว.
คำว่า ดับแล้ว ความว่า ชื่อว่าดับแล้ว ระงับแล้ว เพราะเป็นผู้ดับราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ฯลฯ อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว.
[๓๘๖] ผู้ประกอบมหาชนไว้ในบาปธรรมแล้วให้ตาย ผู้ประกอบมหาชนไว้ในธรรมดำ เป็นผู้ใหญ่ ผู้มีในส่วนสุดแห่งอกุศลธรรม ผู้ไม่ปล่อยมหาชน ผู้เป็นพวกพ้องของคนประมาท ชื่อว่า มาร ในอุเทศว่า น เต มารวสานุคา ดังนี้.
คำว่า พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ไปตามอำนาจมาร ความว่า พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นไปในอำนาจมาร แม้มารก็ยังอำนาจให้เป็นไปในพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้นไม่ได้ พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้นครอบงำ ข่มขี่ ท่วมทับ กำจัด ย่ำยีซึ่งมาร พวกของมาร บ่วงมาร เบ็ดมาร เหยื่อมาร วิสัยมาร ที่อยู่แห่งมาร โคจรแห่งมาร เครื่องผูกแห่งมาร ย่อมอยู่ ดำเนิน เป็นไป รักษา บํารุง เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ไปตามอำนาจมาร.
[๓๘๗] คำว่า พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น ไม่ไปบำรุงมาร ความว่า พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น ไม่ไปบำรุง เที่ยวบำรุงบำเรอ รับใช้มาร พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้บำรุง เที่ยวบำรุงบำเรอ รับใช้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 266
พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น ไม่ไปบำรุงมาร เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด รู้ทั่วถึงนิพพานนั้นแล้ว เป็นผู้มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ไปตามอำนาจแห่งมาร ไม่ไปบำรุงมาร.
พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวกฉะนี้แล.
จบกัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐
อรรถกถากัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐
พึงทราบวินิจฉัยใน กัปปสุตตนิทเทสนี้ ๑๐ ดังต่อไปนี้.
บทว่า มชฺเฌ สรสฺมิํ ท่านอธิบายว่า ในสงสารอันเป็นท่ามกลาง เพราะไม่มีความปรากฏที่สุดในเบื้องต้นและเบื้องปลาย.
บทว่า ติฏฺตํ คือ แก่สัตว์ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่.
บทว่า ยถยิทํ นาปรํ สิยา คือ ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกอย่างไร.
บทว่า อาคมนํ การมา คือ การมาในที่นี้แต่เบื้องต้นและที่สุด.
บทว่า คมนํ การไป คือ การไปสู่โลกอื่นจากโลกนี้.
บทว่า คมนาคมนํ การไปและการมา ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยอำนาจทั้งสองอย่างนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 267
บทว่า กาลํ คือ กาลมรณะ.
บทว่า คติ คือ การบังเกิด.
บทว่า ภวาภโว คือ ภพแต่ภพ.
บทว่า จุติ จ คือ การเคลื่อนจากภพ.
บทว่า อุปปตฺติ จ คือ การอุบัติต่อจากการจุติ.
บทว่า นิพฺพตฺติ จ ความบังเกิด คือ ความปรากฏ.
บทว่า เภโท จ คือ ความทำลายขันธ์.
บทว่า ชาติ จ คือ ความเกิด.
บทว่า ชรา จ คือ ความเสื่อมแห่งขันธ์ทั้งหลาย.
บทว่า มรณญฺจ ความตาย คือ การสละชีวิตินทรีย์.
บทว่า ปุริมาปิ โกฏิ น ปญฺายติ ที่สุดแม้เบื้องต้นก็ไม่ปรากฏ คือ ไม่มี. ที่สุดแม้เบื้องปลายก็เหมือนอย่างนั้น.
บทว่า เอตฺตกา ชาติโย คือ สิ้นชาติประมาณเท่านี้.
บทว่า วฺฏฏํ วตฺติ วัฏฏะเป็นไปแล้ว คือ ความเป็นไปแห่งสงสารเป็นไปแล้ว.
บทว่า ตโต ปรํ น วตฺตติ คือ พ้นจากนั้นแล้วไม่เป็นไป.
บทว่า เหวํ นตฺถิ คือ ไม่มีอย่างนี้.
หิ ศัพท์ เป็นนิบาต.
บทว่า อนมตคฺโคยํ คือ สงสารนี้มีที่สุดอันรู้ไม่ได้.
บทว่า อวิชฺชา นีวรณานํ คือ สัตว์ทั้งหลายอันอวิชชากั้นไว้.
บทว่า ตณฺหาสญฺโชนานํ มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ คือ มีตัณหา กล่าวคือกามราคะผูกพันไว้.
บทว่า สนฺธาวตํ คือ วนเวียนไปบ่อยๆ ในกามธาตุ.
บทว่า สํสรตํ คือ ท่องเที่ยวไปในรูปธาตุและอรูปธาตุ.
บทว่า ทุกฺขํ ปจฺจนุภูตํ เสวยความทุกข์อันเป็นไปทางกายและทางจิต.
บทว่า ติพฺพํ คือ มาก.
บทว่า พฺยสนํ คือ ไม่มีความเจริญ พินาศ.
บทว่า กฏสีววฑฺฒิตํ คือ มากไปด้วยป่าช้า.
บทว่า อลเมว คือ สมควรแท้.
บทว่า สพฺพสงฺขาเรสุ คือ ในสังขารอันเป็นไปในภูมิ ๓.
บทว่า นิพฺพินฺทิตุํ เพื่อความเบื่อหน่าย คือ เพื่อความกระสัน.
บทว่า วิรชฺชิตุํ คือ เพื่อให้เกิดความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 268
คลายกำหนัด.
บทว่า วิมุจฺจิตุํ คือ เพื่อหลุดพ้น.
บทว่า วฏฺฏํ วตฺติสฺสติ วัฏฏะจักเป็นไป คือ วัฏฎะเป็นไปในภูมิ ๓ อันเป็นไปแล้วในสงสาร จักเป็นไปในอนาคต.
บทว่า ตโต ปรํ น วตฺติสฺสติ พ้นจากนั้นจักไม่เป็นไป คือ ความเป็นไปในสงสารในอนาคต พ้นจากนั้นจักไม่เป็นไป.
บทว่า ชาติภเย คือ ภัยอาศัยชาติเกิดขึ้น แม้ในชราเป็นต้น ก็มีนัยนี้ เหมือนกัน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงพยากรณ์ความนั้นแก่กัปปมาณพ จึงได้ตรัสคาถาทั้งหลายต่อๆ ไป. คาถาที่ ๒ มีความได้กล่าวไว้แล้ว.
พึงทราบความคาถาที่ ๓ ต่อไป.
บทว่า อกิญฺจนํ ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล คือ ตรงกันข้ามกับกิเลสเครื่องกังวล.
บทว่า อนาทานํ ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น คือ ตรงกันข้ามกับตัณหาเครื่องถือมั่น. อธิบายว่า เข้าไปสงบกิเลสเครื่องกังวลและตัณหาเครื่องถือมั่น.
บทว่า อนาปรํ ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น คือ เว้นจากธรรมที่เสมอกันเช่นกัน อย่างอื่น. อธิบายว่า เป็นธรรมประเสริฐที่สุด.
พึงทราบความในคาถาที่ ๔.
บทว่า น เต มารสฺส ปฏฺคู พระขีณาสพเหล่านั้นไม่ไปบำรุงมาร คือ ไม่เที่ยวบำรุง บำเรอ รับใช้มาร.
ชื่อว่า มาร เพราะประกอบมหาชนไว้ในบาปแล้วให้ตาย.
ชื่อว่า มีธรรมดำ เพราะเป็นผู้ประกอบในอกุศลกรรม.
ชื่อว่า ผู้เป็นใหญ่ เพราะเป็นใหญ่ในเทวโลกทั้ง ๖.
ข้อว่า อนฺตคู เพราะเป็นผู้ไปสู่ที่สุดแห่งอกุศลกรรม.
ชื่อว่า นมุจิ เพราะไม่ปล่อยมหาชน.
ชื่อว่า เป็นพวกพ้อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 269
ของคนประมาท เพราะเป็นญาติโดยเป็นที่นับถือกันของคนประมาท คือ อยู่ปราศจากสติ.
บทที่เหลือในบททั้งปวงชัดดีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ ด้วยธรรมเป็นยอด คือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อจบเทศนาได้มีผู้บรรลุธรรมเช่นกับครั้งก่อน.
จบอรรถกถากัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐