การที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะละชั่ว ทางกาย วาจา และใจอย่างไร ตรึกพิจารณาอย่างแยบคายอย่างไร กราบท่านอาจารย์กรุณาให้ความกระจ่างด้วยค่ะ ในกรณีของยังกุศลให้ถึงพร้อมด้วยค่ะ และชำระจิตใจให้ผ่องใสด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวในเรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ไว้น่าฟังดังนี้
โอวาทปาฏิโมกข์ การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็ต้องเข้าใจค่ะว่า ธรรมลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่เพียงอ่านจะเข้าใจได้ เข้าใจเองผิดค่ะ เป็นเราที่จะไม่ทำบาป หรือว่าเป็นเราที่ทำกุศล เป็นเราที่พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์ บางคนคิดว่าขณะที่ไม่ทำบาป เขาก็เป็นคนดีแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องสนใจมากกว่านั้น เพราะเว้นบาปแล้ว แต่ขณะที่เว้นบาป ยังมีความดีมากกว่านั้นอีก ทำดีหรือเปล่า หรือว่าตลอดชีวิตก็แค่ไม่ทำบาป แต่ไม่ได้ทำดี นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าตลอดชีวิตเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถจะให้ความจริงได้
ถ้า..เพียงได้ยินว่า " ไม่ทำบาป " ลึกซึ้งไหมค่ะ ใครก็พูดได้ ใช่ไหมคะ แต่รู้ไหมว่าขณะที่ไม่ทำบาป ความจริงขณะนั้น คืออะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมจริงที่มีอยู่ตามปกติในชีวิตประจำวัน ให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่าขณะนั้นๆ เป็นอะไร ไม่เพียงแต่ว่า ไม่ทำบาป ธรรมดาใครๆ ก็พูดได้ ใช่ไหมคะ
ไม่ทำบาป ความลึกซึ้งอยู่ที่ขณะนั้น ไม่ทำบาปน่ะ เป็นอะไรหรือแม้ขณะนี้ ขณะที่กำลังฟังธรรมนี้ ขณะนี้เป็นอะไร ทรงแสดงความจริงในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นธรรมมีอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือจะกล่าวว่าชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ตั้งแต่เช้ามานี้ก็ธรรมทั้งหมด หลากหลาย ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจในขณะที่ไม่ทำบาป แม้ในขณะนี้ หรือขณะไหนก็ตาม ที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจคำสอนของพระองค์ ว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ขณะนี้เกิดแล้วเป็นธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือว่า ขณะนี้เว้นบาปหรือเปล่า เห็นไหมคะ ทุกขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ขณะใดก็ตามที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่าอกุศลทั้งหลายเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เป็นบาป อกุศลก็ไม่ได้กระทำบาปด้วย แต่เป็นอะไร ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ ก็หมายความว่า คนนั้น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้ฟังคำสอนจริงๆ ของพระผู้มีพระภาค เพราะว่าถ้าเป็นคำสอนจริงๆ ทรงแสดงให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตั้งแต่คำว่า " ธรรม " ไม่ใช่เผินๆ แล้วก็คิดว่า พอได้ยินทุกคนก็เข้าใจ มีใครบ้างที่จะไม่รู้จักธรรม ความจริงพูดอย่างนี้ คนนั้นน่ะรู้จักธรรมจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่ได้ยินธรรมก็คิดเอง อย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ก่อนฟังธรรม ท่านเข้าใจว่าธรรมคือ กุศลอย่างเดียว ไม่คิดเลยว่าอกุศลก็เป็นธรรมด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งใดที่มีจริง ปรากฏให้รู้ให้เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจได้ ห รือว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงข้อความที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งสิ้น แต่ว่าจะต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมก่อน เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลัง ไม่ทำบาป ก็เป็นธรรม ขณะที่ทำบาปก็เป็นธรรม ทุกอย่างในชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด
แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว มี ความติดข้องต้องการ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำความดี) และการยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์ (คำสอนที่เป็นหลักสำคัญ) นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม และธรรมนั้นเองจะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเอง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ได้เลย ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นอนัตตา รู้ได้ในขั้นการฟัง รู้ได้เมื่อสติระลึกขณะนั้น ฟังธรรมะของผู้ที่ไกลหรือสงบจากกิเลส ระดับปัญญาก็ต่างกัน แต่ไม่ย่อท้อที่จะฟังต่อไป ฟังเป็นธรรมะ ให้มั่นคงโดยไม่มีตัวเราที่ไปฟัง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา อุปการะเกื้อกูลสำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นไปเพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ เพื่อให้เกิดกุศลขัดเกลากิเลสของตนเอง ไม่ใช่เพื่อให้เกิดอกุศล เพราะ อกุศลถึงแม้จะเล็กน้อย ก็ไม่ควรมี ไม่ควรให้เกิดขึ้น
ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกชีวิต ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้โดยละเอียด เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ว่าจิตใจของใคร มีกิเลสมากน้อยหนาแน่นสักเท่าไร เป็นไปเพราะเหตุใด พระองค์ทรงรู้แจ้งและทรงแสดงไว้ เพื่อให้มีการขัดเกลากิเลสให้มาก
เมื่อเป็นเช่นนี้การศึกษาพระธรรม การฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน จึงทำให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นอกุศล โดยไม่เข้าใจผิดคิดว่า อกุศล เป็นสิ่งดี เช่น ไม่เข้าใจผิดว่า โลภะโทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่ดีเป็นต้น นอกจากนั้น ยังทำให้รู้หนทางที่จะขัดเกลาละคลายสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นออกไปจากใจได้ ซึ่งก็ต้องกำจัดออกไปได้ด้วยปัญญา จะกำจัดได้มากหรือน้อยนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกำลังของปัญญา
เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันจึงขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย เพราะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส ละสิ่งที่ไม่ดี เพิ่มพูนสิ่งที่ดี อันจะเป็นไปเพื่อยังจิตของตนให้ผ่องใสจากกิเลสไปตามลำดับ จนกว่าจะหมดสิ้นไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา