ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ตกนรกได้ไหม? "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๕
~ ถ้าไม่มีความเคารพ ไม่มีความจริงใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีการเข้าใจธรรมได้เลย
~ ต้องไตร่ตรองแล้วๆ เล่าๆ จนสามารถที่จะสอดคล้องทุกคำที่ได้ฟัง เป็นการค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงอยู่ที่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าเดี๋ยวนี้ ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาได้ฟังแล้วก็จำแล้วก็พูด จะเป็นความเข้าใจจริงๆ ไหม?
~ เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ไหม? เพราะฉะนั้น การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการพิสูจน์ความเข้าใจว่า เขาเข้าใจคำที่เขาพูดแค่ไหน
~ เพียงคำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เข้าใจแค่ไหน?
~ เข้าใจความจริงของคำนั้นซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่จึงรู้ความจริงของสิ่งที่พระองค์ตรัสถึงทีละคำทีละหนึ่งของความจริง ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีไม่ตรัสรู้ จะมีคำของพระองค์ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ฟังคำที่พระองค์ตรัส ไม่ได้หมายความว่า เข้าใจคำเท่านั้น แต่คำนั้นหมายความถึงสิ่งที่จะต้องเข้าใจความจริงของสิ่งนั้น
~ ได้ยินคำไหน ไตร่ตรอง จนกระทั่งรู้เข้าใจว่า รู้ความจริงของคำนั้นมากน้อยแค่ไหน หรือยังไม่รู้เลย
~ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ไหม? (มี) รู้จักสิ่งนั้นหรือยัง? (ยังไม่รู้) นั่นถูกต้อง เพราะฉะนั้น เห็นความลึกซึ้ง ว่า กำลังมี แต่ยังไม่รู้จักสิ่งนั้นเลย
~ เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง จากสิ่งที่มีจริงๆ แล้วไม่เคยรู้ แล้วก็เริ่มที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นมีจริง แต่ยังไม่รู้
~ จากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ก็ได้ พรุ่งนี้ ก็ได้ แต่ไม่เข้าใจเลย ชาติต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ก็คือ ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงและไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเคารพพระองค์สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่คิด แต่ความจริงซึ่งไม่เคยรู้ในสังสารวัฏฏ์ แล้วรู้ขึ้น เข้าใจตามความเป็นจริงนั้นขึ้น นี่คือ การเริ่มเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด
~ เห็นประโยชน์แท้จริงของชีวิต ทุกชาติที่ผ่านมา ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เลย แต่เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเห็นคุณสูงสุดในสังสารวัฏฏ์ จึงศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ทีละหนึ่ง
~ ฟังแล้ว เข้าใจ แล้วลืมใช่ไหม? แสดงว่า กว่าจะเริ่มไม่ลืม เริ่มค่อยๆ ไตร่ตรอง เริ่มค่อยๆ รู้ความจริง ต้องใช้เวลานานมาก เพราะเคยไม่รู้มานานเท่าไหร่
~ ประโยชน์อะไรที่จะรู้ว่า ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีคุณอาคิล ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่า ไม่มีเขา มีแต่ธรรม ถ้าไม่เห็นอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีวันหยุด แต่ว่า ความจริง ก็คือ เป็นเขาได้ชาตินี้ชาติเดียว
~ ความเป็นไปของธรรมไม่หยุดเลย ใครก็หยุดยั้งความเป็นไปของธรรมไม่ได้เลย นี่เป็นการเริ่มต้นของการที่จะรู้จักธรรมจริงๆ ว่า ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ หยุดยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะเป็นอย่างนี้
~ ความอยากของคุณอาช่า จะจบไหม? เพราะฉะนั้น จะอยากตลอดไป ใช่ไหม แต่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่เขาอยาก สิ่งที่เขาต้องการหรือแม้แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่เหลือแล้ว ดับหมด อยากเมื่อวาน จบเมื่อวาน อยากวันนี้ จบวันนี้ อยากขณะนี้เดี๋ยวนี้ ก็จบขณะนี้ แล้วเมื่อถึงเวลาที่จะจากโลกนี้ไปก็ไม่มีเขาที่จะอยาก แต่ความอยากไม่จบ จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังมีความอยากที่เป็นเหตุให้เกิดความอยาก เพราะเดี๋ยวนี้ยังมีความอยาก ชาติต่อๆ ไปก็มีความอยากอีก
~ อยากรับประทานอาหารอร่อย รับประทานอาหารอร่อย หมด ทุกอย่าง อยาก ก็หมด กำลังอร่อย ก็หมด ทุกอย่าง ก็หมด ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งที่มั่นคงที่จะไม่เกิดดับ
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้ความจริงว่า ไม่มีอะไร ไม่เหลืออะไร มีแต่สิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น และไม่เหลือเลยจริงๆ
~ เป็นประโยชน์อะไรไหมที่จะเห็นถูกต้อง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมีปัจจัยที่จะเกิดจึงเกิดได้ แล้วก็ดับไป ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ความจริงอย่างนี้ไหม? เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไตร่ตรองให้เข้าใจจริงๆ ว่า ตรงตามที่พระองค์ทรงแสดงหรือไม่?
~ ฟังเพื่อรู้ความจริงถึงที่สุด ที่จะเห็นความจริง ว่า เป็นโทษไหมที่ขณะนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากสภาพธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยากยิ่ง แม้แต่โทษของการที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เริ่มจากการฟังแล้วต้องไตร่ตรองความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อเห็นโทษ จึงละความติดข้อง และสามารถที่จะหมดปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดได้ ด้วยความเข้าใจที่ละ เพราะเข้าใจขึ้นๆ จึงไม่ติดข้องในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้
~ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริง การเห็นโทษของสิ่งที่เกิดดับขณะนี้ยากยิ่งที่จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะจากไม่มีแล้วก็มีแล้วก็หมด เหมือนไม่เคยมีมาก่อนเลย
~ ต้องเริ่มไตร่ตรอง เดี๋ยวนี้เอง สิ่งที่มีหมดแล้ว แล้วก็มีสิ่งที่เกิดอีก แล้วก็หมดอีกตลอดเวลา เป็นโทษหรือเปล่า เป็นประโยชน์อย่างไรบ้างหรือเปล่า? ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ไม่สามารถที่จะเห็นโทษได้เลย ไม่มีแล้วก็เกิดมีแล้วสิ่งนั้นที่เกิดก็หมด มีประโยชน์อะไรที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่ประจักษ์ความจริงเดี๋ยวนี้ ไม่สามารถที่จะละการที่เคยติดข้องพอใจในสิ่งที่กำลังมีได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกคนยังมีความติดข้อง ยังมีความต้องการอาหารอร่อย สิ่งสวยๆ แล้วก็รสต่างๆ เสียงต่างๆ ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้ความจริง ว่า สิ่งนั้นไม่มี เพียงแค่เกิดขึ้นมีแล้วก็หมดไป ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น ต้องรู้ความจริง แล้วเห็นพระคุณที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่ลึกซึ้งเดี๋ยวนี้ให้เริ่มเห็นถูกต้องว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าจากไม่มีแล้วก็มีนิดเดียว แล้วก็หมดไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ตราบใดที่ฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ แต่ยังไม่ประจักษ์ความจริงที่เกิดดับเดี๋ยวนี้ ก็ไม่สามารถที่จะละความติดข้องได้
~ การไม่รู้ความจริง มีมานานแสนนานนับประมาณไม่ได้ในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะได้ฟังคำที่ผู้ที่ตรัสรู้แล้วแสดงความจริงให้ได้เริ่มคิดเริ่มไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นประโยชน์ที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่
~ เกิดมา มีชีวิต มีทุกอย่าง อาหารอร่อย เพลงเพราะ สนุกสนาน ไปเที่ยว ทั้งหมด แต่ว่าไม่รู้เลยว่าขณะที่มีจริงๆ นั้นชั่วขณะที่ปรากฏเท่านั้น
~ ถ้าจากโลกนี้ไป ลืมชาตินี้หมดเลย แม้แต่เมื่อวานนี้ ยังลืมเลย ทุกคนอาจจะตายเดี๋ยวนี้ ก็ได้ เย็นนี้ ก็ได้ พรุ่งนี้ ก็ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นลืมทั้งหมดของชาตินี้ สิ่งที่เราชอบมาก อยากได้มากๆ หรือสิ่งที่เราไม่ชอบเลย ไม่ได้ตามไปถึงชาติหน้า แต่ความชอบ ความไม่ชอบ ตามไป สำหรับสิ่งข้างหน้าที่จะมี
~ สิ่งที่มีขณะนี้ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทุกอย่าง ทำให้เกิดชอบ ไม่ชอบ แล้วก็ไม่เหลือเลย
~ ชาติหน้า มีคุณอาคิล มีคุณอาช่าไหม? ไม่มีแน่นอน เพราะเป็นใคร ก็ไม่รู้ แต่คนต่อไป มาจากชาตินี้และชาติก่อนๆ ที่สะสมไว้ที่ทำให้เกิดการกระทำและความคิดต่างๆ ดี ชั่ว
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงเหตุผลให้เข้าใจตามความเป็นจริง แล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นผล เชื่อเพราะพระองค์ตรัส ไม่พอ ไม่ถูก แต่เชื่อเพราะเข้าใจคำที่พระองค์ตรัส
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่พระองค์ทรงแสดงความจริงให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น เขาเข้าใจหรือเปล่า หรือเชื่อ? พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าให้เชื่อว่าไม่มีเขา แต่อะไรมีที่ ไม่ใช่เขา ขณะนี้มีจริงๆ เป็นเขาหรือเปล่า
~ ไม่ใช่เชื่อว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า มีบุญ มีบาป แต่เข้าใจถูกต้องว่า บุญคืออะไร บาปคืออะไร เป็นอะไรที่ไม่ใช่เรา
~ เมื่อเข้าใจสภาพธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จึงมีพระองค์เป็นที่พึ่ง จึงทำให้ได้เข้าใจ ไม่ใช่มีที่พึ่ง แต่ไม่เข้าใจธรรม
~ ใครเคยรู้ความจริงบ้างว่า ขณะนี้ สิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น แต่เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ จริงไหม? ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้เข้าใจความจริงและรู้ว่าผู้ที่ตรัสรู้แล้ว จึงสามารถที่จะแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น แต่เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ
~ นรกมีจริงไหม? สวรรค์มีจริงไหม?
~ พระพุทธองค์ตรัส เราต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่เชื่อ ทำไมโลกนี้ มี ทำไมสวรรค์ มี ทำไมพรหมโลก มี ต่างๆ กันไปตามเหตุ ถ้ามีเหตุที่จะให้เกิดที่ไหนก็ต้องเกิดที่นั่นตามสมควรแก่เหตุ ไม่ใช่เลือกเกิดหรือใครจะทำอะไรก็ได้ นี่แสดงความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหมด ไม่มีเขา แต่มีจิต ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ
~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่ใช่ให้เชื่อ แต่พระองค์ให้เข้าใจตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เพียงแต่เชื่อเพราะพระพุทธเจ้าตรัส ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ใช่ที่พึ่ง เพราะไม่ใช่ความเข้าใจอะไรเลย ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจของเขาเอง เขาไม่สามารถที่จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
~ จากการที่ไม่เคยรู้ความจริงเลยสักนิดเดียว มาเป็นการเริ่มเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพระเจ้าตรัส เพื่อให้เข้าใจทุกคำ เพราะเป็นความจริงทุกคำ
~ อะไรเป็นเหตุให้ไปนรก? (อกุศลกรรม)
~ คนที่ฟังธรรมไปนรกได้ไหม? ใครไม่เกิดในนรก? พระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลย
~ คนที่ฟังธรรม ตกนรกได้ไหม? ถ้าไม่เข้าใจแล้วก็ยังมีกิเลสที่จะทำให้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไป หมดไป เพราะว่า เขาไม่เข้าใจธรรม เข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิด ก็พูดผิด สอนผิด ตกนรกได้ไหม? เพราะฉะนั้น ต้องละเอียด ต้องรอบคอบ ต้องระวัง ต้องเคารพในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วก็กล่าวคำของพระองค์ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย
~ ต้องไตร่ตรอง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง เพราะเป็นจริงทุกขณะ
~ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังนี้เดี๋ยวนี้ จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระโสดาบันได้ไหม?
~ ต้องเป็นคนตรง เป็นสัจจบารมี จึงสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ว่า ฟังเข้าใจทุกอย่าง เรื่องเห็น เรื่องได้ยิน แต่ว่า รู้จักเห็นเดี๋ยวนี้หรือเปล่า รู้จักได้ยินเดี๋ยวนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นคนตรง ก็ตอบได้ ใช่ไหม?
~ ปัญญาเริ่มละเอียดที่จะรู้ว่า การฟังเข้าใจ เป็นปริยัติ รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร สอนว่าอะไร แต่เขายังไม่สามารถที่จะรู้อย่างนั้นได้ แต่พระองค์ทรงแสดงหนทางที่จะให้รู้ด้วย
~ ถ้าไม่รู้ว่าฟังธรรม เพื่อรู้จักธรรมที่กำลังมี จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย พูดเรื่องนิพพาน พูดเรื่องโลกุตตรจิต พูดหลายๆ เรื่อง แต่ไม่รู้จักธรรมที่กำลังปรากฏ
~ ถ้าไม่ตรงต่อความเป็นจริง ก็จะเพียงเข้าใจเรื่องราว แต่ไม่สามารถที่จะถึงการที่จะรู้จักลักษณะที่ไม่ใช่เราที่กำลังมีขณะนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าฟังเพื่อจะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่พ้นจากนรกได้
~ เห็นเป็นเห็น จำเป็นจำ ฟังด้วยความเข้าใจขึ้น จึงจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไรเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีความรู้เลย ก็ต้องเป็นเรา แต่เพราะรู้ว่า เป็นอย่างนั้น จึงไม่ใช่เรา เห็นไม่ใช่เรา จำไม่ใช่เรา
~ พูดแล้ว พูดอีกๆ เพื่อที่จะให้ไม่ลืมว่า ขณะนี้ ไม่ใช่เรา
~ กว่าจะหมดความเป็นเราก็ต้องฟังแล้วเข้าใจขึ้นๆ ละเอียดขึ้นๆ
~ ธรรมดา ฟังแล้วลืมๆ ว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น กว่าจะมั่นคงขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มคิดถึง ไม่ว่าขณะไหนก็ตาม มีสิ่งใดปรากฏ เริ่มระลึกได้ว่า ไม่ใช่เรา
~ วันนี้ เป็นเราเห็น เป็นเราได้ยิน เป็นเราคิด เป็นเราจำ ทั้งหมด ไม่ว่าอะไร ใช่ไหม? เมื่อวานนี้ ก็เป็นเราเห็น เป็นเราจำ เราชอบ เราไม่ชอบ ทั้งวัน เป็นเรา ใช่ไหม? ทุกวันในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาและปัจจุบันนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม? จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แต่ละคำ ด้วยความเคารพ ว่าสามารถค่อยๆ รู้ความจริงได้ทีละเล็กทีละน้อย
~ สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ที่ไม่ใช่เรา เกิดแล้วดับ ได้ไหม? เข้าใจเพียงเท่านี้ พอไหมที่จะรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น หนทางที่จะรู้ความจริง คือ ความมั่นคงในความเข้าใจ ใช่ไหม? นี่เป็นการเริ่มต้นที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริง
~ ความเข้าใจถูกขั้นฟัง ไม่พอ
~ การไม่เข้าใจ จึงทำให้ทำอย่างอื่น ด้วยความไม่เข้าใจ นั่นคือ สีลัพพตปรามาส ซึ่งเป็นความเห็นผิดที่คิดว่าทางอื่นเป็นทางที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้
~ ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคง ที่จะรู้ว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกให้รู้ความจริง เพื่อเป็นหนทางที่จะทำให้สามารถรู้จริง ในสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ ทางอื่นทั้งหมด ที่ไม่ทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี จนประจักษ์แจ้งได้ เป็นสีลัพพตปรามาส
~ ความเข้าใจต้องตามลำดับที่มั่นคงจริงๆ ไม่อย่างนั้น ไม่มีประโยชน์เลย
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกๆ ท่าน
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนา และยินดีที่ฟังธรรมอันประเสริฐยิ่งต่อไปครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่น ครับ.... ประมาทไม่ได้เลยตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม จึงสำคัญอย่างยิ่งที่จะฟังคำของพระองค์ทีละคำด้วยความเคารพ...สาธุ
ฟังแล้ว เข้าใจ แล้วลืมใช่ไหม? แสดงว่า กว่าจะเริ่มไม่ลืม เริ่มค่อยๆ ไตร่ตรอง เริ่มค่อยๆ รู้ความจริง ต้องใช้เวลานานมาก เพราะเคยไม่รู้มานานเท่าไหร่
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ...
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่านท่านผู้ร่วมฟังธรรมะ
ทุกสิ่งที่เกิดปรากฏเช่นเห็นไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเลยเพียงเห็นแล้วเห็นก็ดับแล้วแต่จิตจะเกิดได้ยินเห็นก็ดับเพียงไม่ติดข้องในสิ่งนั้นๆ ที่เห็นที่ได้ยินเพราะเป็นเพียงสิ่งที่ต้องเกิดตามเหตุตามผลที่บังคับไม่ได้เพียงแค่รู้เดี๋ยวนี้มีอะไรเกิด
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
กราบขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ