เรียนถามครับว่า ทำไมมหาภูตรูปและรูปอื่นๆ ในสวรรค์จึงไม่แสดงอาการที่เป็นอสุภะอย่างเด่นชัดเหมือนในโลกมนุษย์ครับ ขอขอบพระคุณในคำตอบด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ธรรมเป็นเรื่องละเอียด และ แสดงหลากหลายนัยครับ สำหรับ ความเป็นอสุภะ คือ
สภาพธรรมที่ไม่งาม ซึ่ง รูปที่ประชุมรวมกัน บัญญัติว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
ก็มีความแตกต่าง ความประณีต แตกต่างกันไป ตามบุญ กรรม ที่เป็นที่ตั้งให้เกิดรูป
เหล่านั้น การเกิดเป็นเทวดา ก็ด้วยผลของกุศลกรรมที่ประณีตกว่าภพภูมิมนุษย์ เพราะ
ฉะนั้น รูปร่างกายทีเกิดจากการประชุมรวมกันของรูปต่างๆ ก็ประณีตมากกว่าของมนุษย์
เพราะผลของบุญที่นำเกิดนั้นประณีตกว่าครับ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นรูปเทวดาที่ประณีต
เป็นทิพย์ เพราะผลของบุญที่ประณีต ความเป็นอสุภะ คือ ไม่งามย่อมเห็นได้ยาก ยาก
กว่า รูปของมนุษย์ ที่ไม่ประณีตเท่า และที่สำคัญที่สุด การพิจาณณาโดยความเป็น
อสุภะ มไม่งาม เป็นเรื่องของปัญญาอย่างแท้จริง แม้จะมีรูปร่างกายอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่ได้
เห็นถึงความไม่งามของร่างกาย ของ ส่วนต่างๆ ของร่างกายเลย หรือ ไมได้พิจารณา
ด้วยความเห็นโทษและเบื่อหนายคลายกำหนัดจากร่างกายด้วยปัญญา ไม่ต้องกล่าวถึง
รูปที่ประณีตของเทวดา ที่หากไม่มีปัญญาระดับสูงแล้ ว ย่อมไม่เห็นถึงความไม่งามของ
ร่างกาย เพราะประณีต สวยงามเหลือเกิน อันเป็น นิมิต ที่ตั้งของโลภะ เป็นสุภนิมิต สิ่ง
ที่ปรากฎว่างามได้ครับ
แต่ผู้ที่มีปัญญา พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึง ความเป็นปฏิกูลของสภาพธรรม แม้รูปที่
ประณีต มีจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ปฏิกูล เพราะสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นและดับ
ไป ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ปฏิกูลครับ ไม่น่ายินดี เพราะไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่ปฏิกูลจริงๆ คือ สภาพ
ธรรมที่ไม่เกิดขึ้นและดับไป คือ พระนิพพานครับ รูปแม้ประณีต ก็ยังปฏิกูล ไม่น่ายินดี
ชื่นชม เพราะเกิดขึ้นและดับไป ไม่ยั่งยืน ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่ว่าจะทรงแสดงในส่วนใด ด้วยพยัญชนะใด ก็เพื่อให้ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง เมื่อกล่าวถึงมหาภูตรูปแล้ว ควรที่จะได้เข้าใจก่อนว่า คือ อะไร? มหาภูตรูป คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานของรูปทั้งหลาย ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นธรรมที่มีจริง แต่เป็นธรรมที่ไม่ได้รู้อารมณ์ ไม่ได้รู้อะไรเลย เพราะไม่ใช่สภาพรู้เหมือนกับจิตและเจตสิก ซึ่งมีความประณีตต่างกันตามเหตุตามปัจจัย แต่รูปก็เป็นรูป เป็นธรรมที่เกิดแล้วดับไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และถึงแม้ว่าจะเป็นรูปที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ เพียงใด เมื่อเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป นั้น ก็เป็นอสุภะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่งาม เพราะเกิดแล้วดับ ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้นจริงๆ แต่ถ้าไม่มีปัญญา ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ย่อมไม่สามารถที่จะเห็นความไม่งามของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปได้เลย ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิม อาจารย์คำปั่น ครับ
ผมขออนุญาตเรียนสอบถามเพิ่มเติมให้ยิ่งข้ึนว่า คำว่า "อสุภะ" หรือ "ปฏิกูล" นั้น นอกจากจะมีความหมายในนัยของความไม่สวยงาม ไม่น่าดู ความสกปรก หรือความน่ารังเกียจ เป็นหลัก แต่ยังจะมีความเป็นอสุภะหรือปฏิกูล ด้วยเหตุอื่นๆ อีกด้วยหรือไม่ครับ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ธรรมเป็นเรื่องละเอียดครับ โดยทั่วไปแล้ว คำว่า อสุภะ มุ่งหมายถึ งการพิจารณาถึง
ความไม่งาม ของร่างกาย เช่ น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือ อาการ 32 เป็นต้น แต่ความ
เป็นปฏิกูล มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นครับ เพราะความเป็นปฏิกูล หมายถึง ความไม่
งามของสภาพธรรม มีร่างกาย เป็นต้นด้วยและอาหารด้วย และความปฏิกูล เป็นฤทธิ์
ของพระอริยะ ที่พิจารณา ในสิ่งที่ปฏิกูล ว่าไม่ปฏิกูล คือ แผ่เมตตาด้วยกำลังของฌาน
ในสิ่งที่น่าไม่น่าปรารถนา จึงไม่รังเกียจ ในสิ่งนั้นที่ปฏิกูล
สำคัญในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล ว่า ปฏิกูล
คือ พิจาณาโดยความไม่เที่ยงของสภาพธรรม แม้สิ่งนั้นจะไม่ปฏิกูล โดยลักษณะ แต่
เพราะการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม จึงปฏิกูลครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับคำตอบครับ
ไหนๆ มีคำถามในเรื่องสวรรค์ และจากการอ่านข้อความอธิบายของ อ. Paderm ทราบว่ารูปในสวรรค์ประณีต อยากทราบว่ามีการกล่าวไว้ในที่ไหนไหมว่า ชีวิตในสวรรค์ มีกลางวันกลางคืน เพราะได้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ อย่างบนโลกไหมครับ และได้ยินว่าผู้ที่เกิดในสวรรค์จะมีสัญญาความจำ ว่าชาติก่อนนี้เกิดเป้นใคร ในภพภูมิใด แล้วบุคคลที่อยู่ในสวรรค์จะมีจิตแผ่กุศลหรืออุทิศกุศลมาให้มนุษย์หรือสัตว์บนโลกไหมครับ
ขออภัยหากคำถามอาจไม่ช่วยให้เพิ่มปัญญาความเข้าใจพระธรรม แต่ก็คิดว่าช่วยไม่ให้คิดเอาเอง หรือเข้าใจผิดครับ
เรื่องสวรรค์ มีแสดงไว้มากมายในพระไตรปิฏก มีหลาย ๆ พระสูตร เช่น ในเล่ม
48 เป็นเืรื่องของวิมานวัตถุ ที่แสดงถึงเหตุที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ ถึงแม้ว่าจะเกิด
ในสวรรค์ มีรูปประณีต งดงามเพียงใด รูปนั้น ก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ หมดบุญ
ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ยังไม่่พ้นไปจากทุกข์ จนกว่าจะได้พบพระธรรมและอบรม
เจริญปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะนำให้สัตว์โลกออกจากทุกข์ได้อย่างแท้จริงค่ะ
เรียนความเห็นที่ 9 ครับ
ไม่มีข้อความที่แสดงโดยตรงว่ามีกลางวันหรือกลางคืนครับ แต่แสดงเพียงระยะเวลาใน
โลกมนุษย์ และที่สำคัญไม่มีกลางคืนสำหรับสวรรค์ เพราะความสว่างรุ่งโรจน์ของวิมาน
และสวรรค์ครับ ดังเช่นในบางยุคลของมนุษย์ที่อาศัยแสงรัศมีของพระุพุทธเจ้า ก็ไม่มี
กลางคืนในโลกมนุษย์นั้นเลยครับ ส่วนประเด็นเรื่อง เทวดาอุทิศส่วนกุศลมาให้มนุษย์
หรือไม่ ยังไม่มีข้อความที่แสดงในเรื่องนี้ครับ มีแต่เทวดาขอให้มนุษย์อุทิศส่วนกุศลไปให้ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณครับอ. ผเดิม และขออนุโมทนาครับ